Читать книгу วั๊นซ์ กอน - Блейк Пирс - Страница 9
บทที่ 3
Оглавлениеเด็กสาววัยรุ่นที่มาเปิดประตูนั้นทำหน้าราวกับจะกระแทกประตูใส่หน้าของบิล แต่เธอก็หมุนตัวกลับแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งประตูเปิดค้างไว้
บิลเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน
“สวัสดี เอพริล” เขาพูดออกมาแบบอัตโนมัติ
ลูกสาวหน้าบูดตัวแสบวัย 14 ปี ที่ได้ผมสีเข้มกับตาสีน้ำตาลอ่อนจากแม่มาไม่ตอบอะไรเขา อยู่ในชุดเสื้อทีเชิร์ตตัวโคร่งหัวเหอยุ่งเหยิง เอพริลเดินเลี้ยวเข้ามุมแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ไม่สนใจกับสิ่งรอบตัวนอกจากหูฟังกับโทรศัพท์มือถือ
บิลยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะต้องทำเช่นไร เมื่อตอนที่เขาโทรหาไรล์ลี่ เธอตกลงให้เขามาหาได้แม้ว่าจะยังดูลังเลอยู่ซักหน่อย หรือว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้ว?
บิลกวาดตามองไปรอบๆในขณะที่เขาขยับเข้ามาในตัวบ้านที่มีแสงทึมๆ เขาเดินผ่านห้องนั่งเล่นและเห็นว่าทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนลักษณะของไรล์ลี่ หากแต่เขาก็สังเกตเช่นกันว่ามู่ลี่ที่ดึงลงมาปิด คราบฝุ่นเป็นแผ่นที่เกาะบนเฟอร์นิเจอร์นั่นไม่เหมือนกับนิสัยของเธอเลย บนชั้นวางหนังสือเขามองเห็นนิยายปกอ่อนระทึกขวัญใหม่เอี่ยมที่เขาซื้อให้เธอในช่วงพักงานหวังให้เธอไม่ต้องไปคิดมากกับปัญหา วางเรียงรายอยู่เป็นแถว ไม่มีเล่มไหนโดนแกะออกอ่านเลย
เขารู้สึกหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้น นี่มันไม่เหมือนไรล์ลี่ที่เขารู้จัก เมอเรดิธจะพูดถูกรึเปล่านะ? เธอต้องการเวลาพักมากกว่านี้รึเปล่า? เขากำลังตัดสินใจผิดที่มาขอให้เธอช่วยตอนที่เธอยังไม่พร้อมรึเปล่า?
บิลรวบรวมสติพร้อมกับเดินลึกเข้าไปในตัวบ้านที่มืดทึบ และขณะที่เขาเดินเลี้ยวเข้ามุม เขาก็พบไรล์ลี่อยู่คนเดียวในห้องครัว นั่งอยู่ที่โต๊ะฟอร์มิก้าในชุดคลุมอยู่บ้านกับรองเท้าแตะ มีถ้วยกาแฟวางอยู่ตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นและเขาก็เห็นเสี้ยวหนึ่งของความอับอายราวกับเธอลืมไปว่าเขาจะมาหา แต่เธอก็กลบเกลื่อนมันอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มบางๆพร้อมกับลุกขึ้น
เขาเดินเข้าไปกอดเธอ และเธอก็กอดตอบเขาหลวมๆ เธอดูเตี้ยกว่าเขานิดหน่อยในรองเท้าแตะ เธอผอมลงไปมากและเขาก็วิตกมากยิ่งขึ้น
เขาเดินมานั่งตรงข้ามกับเธอที่โต๊ะและมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ผมเธอดูสะอาดแต่ก็ไม่ได้หวีให้เรียบร้อย และดูเหมือนเธอจะสวมรองเท้าแตะนั่นมาหลายวันแล้ว หน้าของเธอดูโทรม ซีดมาก และดูแก่ลงไปมากจากที่เขาเห็นเธอล่าสุดเมื่อห้าสัปดาห์ที่แล้ว เธอดูราวกับไปท่องนรกมา ซึ่งจริงๆแล้วก็ใช่ เขาพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่ฆาตกรรายก่อนทำอะไรไว้กับเธอ
ไรล์ลี่เบนสายตามองไปทางอื่น แล้วทั้งสองก็นั่งอยู่ในความเงียบสงัด บิลมั่นใจว่าเขาจะรู้ว่าจะต้องพูดให้กำลังใจเธออย่างไร แต่เขากลับได้แต่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความเศร้าของเธอและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาต้องการเห็นเธอแข็งแรงกว่านี้ เหมือนเธอคนเก่า
บิลรีบซ่อนซองเอกสารเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมชิ้นใหม่บนพื้นข้างเก้าอี้ เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะเอาให้เธอดู และเริ่มแน่ใจว่าเขาทำพลาดแล้วที่มาที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการเวลามากกว่านี้ ด้วยความสัตย์จริงการได้มาเห็นเธอที่นี่ในวันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจเป็นครั้งแรกว่าคู่หูอันยาวนานของเขาจะกลับมา
“กาแฟมั้ย” เธอถาม บิลรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจของเธอ
เขาส่ายหัว เธอดูเปราะบางอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตอนที่เขาไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลและแม้ว่าจะหลังจากที่เธอกลับมาบ้านแล้ว เขาก็ยังเป็นกังวลกับเธอ เขาเคยสงสัยว่าเธอจะดึงตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดและหวาดกลัวที่เธอต้องทนทุกข์อยู่ในก้นบึ้งของความมืดมิดอันยาวนาน มันดูไม่ใช่เธอเลย เธอเคยดูไร้เทียมทานไม่ว่าในคดีไหน มีบางอย่างเกี่ยวกับคดีที่แล้ว เจ้าฆาตกรรายที่แล้ว มันดูแตกต่างไป บิลเข้าใจอย่างที่สุด เจ้าฆาตกรรายนั้นมันโรคจิตบิดเบี้ยวที่สุดที่เขาเคยประสบพบเจอมา – และนั่นก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากเลยทีเดียว
ขณะที่เขาพินิจพิเคราะห์เธอนั้น เขาก็นึกอะไรได้บางอย่าง เธอดูสมวัยแล้วตอนนี้ เธออายุ 40 ปี เท่ากันกับเขา แต่เมื่อก่อนตอนที่ยังปฏิบัติงานอยู่อย่างกระตือรือร้นและอยู่ไม่สุข เธอดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปีเลย ผมสีเข้มของเธอเริ่มถูกแซมด้วยผมขาวแล้ว แต่อย่างว่าละ ผมของเขาก็เปลี่ยนสีเหมือนกัน
ไรล์ลี่ตะโกนเรียกลูกสาว “เอพริล!”
ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไรล์ลี่เรียกต่อไปอีกหลายรอบ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับมา
“อะไร?” เอพริลตอบกลับมาจากห้องนั่งเล่นด้วยเสียงหงุดหงิดแบบสุดๆ
“วันนี้มีเรียนกี่โมง?”
“แม่ก็รู้นี่”
“แม่ถามก็แค่ตอบมา โอเคมั้ย”
“แปดโมงครึ่ง”
ไรล์ลี่ขมวดคิ้ว ดูรู้สึกแย่ เธอเงยหน้ามองบิล
“เธอตกภาษาอังกฤษ โดดเรียนบ่อยเกินไป ฉันพยายามจะขุนเธอกลับขึ้นมา”
บิลส่ายหัว เข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดีทีเดียว ชีวิตเจ้าหน้าที่พิเศษมันก็สร้างปัญหากับชีวิตส่วนตัวให้พวกเขาแบบนี้แหละ และครอบครัวก็คือสิ่งที่โดนกระทบใหญ่หลวงที่สุด
“ผมเสียใจด้วย” เขากล่าวออกมา
ไรล์ลี่ยักไหล่
“เธออายุ 14 และเธอก็เกลียดฉัน”
“นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“ฉันเกลียดทุกคนตอนอายุ 14” เธอบอก “คุณไม่เป็นเหรอ?”
บิลไม่ตอบ นึกภาพไรล์ลี่ตอนเกลียดทุกคนแทบไม่ออก
“รอดูตอนลูกชายคุณอายุเท่านั้นก็ละกัน” ไรล์ลี่บอกเขา “พวกเขาอายุเท่าไหร่กันแล้วนะ ฉันลืม”
“แปด กับ สิบขวบ” บิลตอบแล้วยิ้มออกมา “ท่าทีที่แม็คกี้เป็นอยู่ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจะได้มีส่วนร่วมในชีวิตพวกลูกรึเปล่าเมื่อถึงตอนที่พวกเขาอายุเท่ากับเอพริล”
ไรล์ลี่เอียงคอและมองเขาด้วยความเป็นห่วง เขาคิดถึงหน้าตาห่วงหาอาทรแบบนี้มาซักพักแล้ว
“แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอถาม
เขามองไปที่อื่น ไม่อยากจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง
“นั่นคุณซ่อนอะไรอยู่บนพื้นน่ะ?” เธอถามขึ้น
บิลกวาดตามองด้านล่างแล้วมองกลับขึ้นมายิ้มๆ แม้แต่ในสภาพแบบนี้ เธอก็ไม่เคยให้มีอะไรคลาดสายตาได้จริงๆ
“ผมไม่ได้ซ่อนอะไร” บิลบอก พร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาวางลงบนโต๊ะ “แค่บางอย่างที่ผมอยากปรึกษากับคุณ”
ไรล์ลี่ยิ้มกว้าง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ดีว่าเขามาเพื่ออะไร
“เอามาให้ฉันดูหน่อย” เธอตอบเขา พร้อมเสริมขณะที่ตวัดสายตามองไปที่เอพริล “เร็วๆ ออกไปคุยกันข้างนอก ฉันไม่อยากให้เธอเห็น”
ไรล์ลี่ถอดรองเท้าแตะและเดินนำบิลออกไปที่สนามหลังบ้านด้วยเท้าเปล่า พวกเขานั่งลงบนโต๊ะไม้ปิคนิคเก่าๆที่อยู่มาก่อนที่ไรล์ลี่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยซ้ำ บิลจ้องไปรอบๆสนามหญ้าเล็กที่มีต้นไม้อยู่ต้นเดียว มีไม้อยู่ทุกด้านทุกมุม ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ใกล้เมือง
สันโดษเกินไป เขาคิดในใจ
เขาไม่เคยคิดว่าที่นี่เหมาะกับไรล์ลี่เลยแม้แต่น้อย บ้านหลังเล็กสไตล์คอกม้านั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองถึงสิบห้าไมล์ สภาพเก่าและดูธรรมดามาก มันอยู่หลบจากถนนเส้นรอง ไม่มีอะไรอยู่ในระยะสายตาเลยนอกจากป่าและทุ่งเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าชีวิตคนชานเมืองจะเหมาะกับเธอหรอกนะ เขาก็คิดภาพเธออยู่ในวงสังสรรค์ปาร์ตี้ค็อกเทลไม่ออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะสามารถขับรถไปเฟร็ดดริกส์เบิร์กส์แล้วต่อรถไฟไปควอนติโก้ได้เมื่อเธอกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเธอยัง สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้
“ไหนคุณมีอะไร เอามาดูซิ” เธอเปิดประเด็น
เขากางรายงานและรูปถ่ายออกมาวางเต็มโต๊ะ
“จำคดีที่เมืองแด็กเก็ตต์ได้มั้ย” เขาถาม “คุณพูดถูก ไอ้ฆาตกรมันยังไม่จบแค่นั้น”
เขาเห็นตาเธอเบิกตาโพลงขณะที่กำลังพิจารณาภาพถ่ายพวกนั้น ความเงียบเข้าครอบงำขณะที่เธอศึกษาเอกสารอย่างจริงจัง ทำให้เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการที่จะนำเธอกลับมา – หรืออาจเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่หวนกลับมาอีกเลย
“คุณคิดว่ายังไง?” และแล้วเขาก็ถามขึ้นมา
ยังคงเงียบ เธอไม่เงยหน้าออกจากเอกสารเลย
เธอมองกลับขึ้นมาในที่สุด และเมื่อเธอเงยหน้าเขาก็ต้องตกใจที่เห็นน้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาของเธอ บิลไม่เคยเห็นเธอร้องไห้มาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่ในคดีที่โหดร้ายที่สุดหรือแม้แต่ตอนตรวจศพ ชัวร์แล้วว่านี่ไม่ใช่ไรล์ลี่ที่เขาเคยรู้จัก ไอ้ฆาตกรนั่นต้องทำอะไรไว้กับเธอแน่ อะไรที่มากกว่าสิ่งที่เขารู้
เธอสะอื้นน้ำตา
“ฉันกลัว บิล” เธอบอก “ฉันกลัวมาก ตลอดเวลา กลัวทุกอย่าง”
บิลรู้สึกหัวใจหล่นลงไปที่เท้าเห็นเธอเป็นแบบนี้ เค้าประหลาดใจว่าไรล์ลี่คนเดิมหายไปไหน คนเดียวที่เขายอมรับว่าแกร่งยิ่งกว่าตัวเขา ที่พึ่งพิงที่เขาไปหาเสมอในยามมีปัญหา เขาคิดถึงเธอมากกว่าคำใดๆ
“มันตายไปแล้ว ไรล์ลี่” เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะรวบรวมได้ “มันทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”
เธอส่ายหน้า
“คุณวางใจไม่ได้หรอก”
“ได้สิ” เขาตอบ “พวกเขาเจอศพมันหลังเหตุการณ์ระเบิด”
“แต่พวกเขาก็ระบุไม่ได้ว่าศพเป็นของใคร” เธอว่าต่อ
“คุณก็รู้ว่าเป็นศพมันนั่นแหละ”
เธอก้มหน้าพร้อมปิดหน้าด้วยมือหนึ่งขณะที่ร้องไห้ เขาเอื้อมมือไปจับมืออีกข้างของเธอ
“นี่เป็นคดีใหม่” เขาบอก “มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดกับคุณ”
เธอส่ายหัว
“นั่นไม่ใช่ประเด็น”
เธอยกมือขึ้นช้าๆทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ มองหน้าไปทางอื่นพร้อมกับยื่นเอกสารคืนเขา
“ฉันขอโทษด้วย” เธอกล่าวพร้อมก้มหน้าส่งเอกสารคืนเขาด้วยมือที่สั่นเทา “ฉันว่าคุณควรกลับไปก่อน” เธอกล่าวต่อ
บิลตกใจ เสียใจ และเอื้อมมือไปรับเอกสารคืน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาในรูปนี้
เขานั่งต่ออีกครู่หนึ่ง พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเอง ในที่สุด เขาลูบมือเธออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมเดินกลับ ผ่านออกไปในตัวบ้าน เอพริลยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หลับตาและพยักหน้าไปกับเสียงเพลงที่เธอฟัง
*
ไรล์ลี่ยังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะปิคนิคหลังบิลกลับออกไปแล้ว
ฉันคิดว่าฉันโอเคแล้วซะอีก เธอคิดในใจ
เธออยากจะให้บิลเห็นว่าเธอโอเคแล้วจริงๆนะ แล้วเธอก็คิดว่าเธอคงแสดงให้เขาเห็นได้จริงๆ มันก็โอเคน่ะตอนที่นั่งอยู่ในครัวคุยกันเรื่องจิปาถะ แล้วพอตอนที่ออกไปด้านนอกที่เธอได้ดูเอกสารเธอก็คิดว่าเธอน่าจะรับได้เหมือนกัน ยิ่งกว่ารับได้นะจริงๆแล้ว เธอหมกมุ่นในการอ่านเอกสารเลยหละ ความอยากกลับไปทำงานมันกลับมา เธออยากกลับออกไปปฏิบัติหน้าที่ เธอคิดจัดแบ่งเรื่องราวอยู่ในหัว แน่นอน ก็คิดถึงคดีฆาตกรรมพวกนั้นในรายละเอียดที่เกือบจะเหมือนกันให้เป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องแก้ คิดเกือบจะตามหลักวิชาการ เป็นเกมส์ท้าทายกึ๋น นั่นเธอก็รับได้เหมือนกัน นักบำบัดบอกเธอว่าจะต้องรับมือกับมันให้ได้หากคิดอยากจะกลับไปทำงาน
แต่แล้วก็ไม่รู้เพราะอะไร ไอ้เจ้าจิ๊กซอว์พวกนั้นมันกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น – โศกนาฏกรรมของปีศาจที่ใช้ความรุนแรงคร่าชีวิตหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเจ็บปวดและทรมานแบบหาที่เปรียบไม่ได้ถึงสองคน และนั่นทำให้เธออยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า: พวกเธอโดนกระทำแย่เท่ากับที่ฉันโดนมั้ย?
ตอนนี้ตัวเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นวิตก เช่นเดียวกันกับความรู้สึกอายและละอายแก่ใจ บิลเป็นคู่หูและเพื่อนสนิทของเธอ เธอติดค้างเขาไว้มาก เขาอยู่เคียงข้างเธอตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในขณะที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอคงผ่านช่วงเวลาในโรงพยาบาลนั้นมาไม่ได้หากไม่มีเขา สิ่งสุดท้ายที่เธออยากให้เกิดคือการที่เขาได้มาเห็นเธอในสภาพสิ้นหวังแบบนี้
เธอได้ยินเสียงเอพริลตะโกนมาจากประตูหลัง
“แม่ เราต้องกินข้าวเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่งั้นหนูไปสายแน่”
เธออยากจะตะโกนกลับไปว่า “ก็หัดทำกินเองมั่งสิ!”
แต่เธอก็ไม่ได้ทำ เธอเหนื่อยมานานกับการทำสงครามกับเอพริล ตอนนี้เธอไม่อยากจะเอาชนะแล้ว
เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ดึงกระดาษเช็ดมือออกมาจากม้วนเพื่อเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูกเพื่อเตรียมทำใจทำกับข้าวต่อ ไรล์ลี่พยายามนึกถึงคำพูดของนักบำบัด: แม้แต่หน้าที่ซ้ำซากจำเจยังต้องการการรวบรวมสติ อย่างน้อยก็เพียงสักครู่หนึ่ง เธอต้องทำใจที่จะทำอะไรด้วยการเริ่มต้นจากก้าวเล็กๆทีละก้าว
เริ่มแรกคือหยิบของออกมาจากตู้เย็น – ตามด้วยถาดไข่, ถุงใส่เบคอน, ถาดเนย, ขวดแยม, เอพริลชอบกินแยมในขณะที่ตัวเธอนั้นไม่ชอบ ขั้นตอนก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงการวางเบคอนหกแผ่นลงบนกระทะเหนือเตาแก๊ส และเธอก็เปิดแก๊ส
เธอโซเซถอยหลังไปหลังจากที่เห็นเปลวไฟสีเหลืองฟ้า เธอหลับตา แล้วเรื่องเก่าๆก็โถมกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง
ไรล์ลี่นอนอยู่ในช่องใต้พื้นบ้าน พื้นที่แคบๆ ในห้องขังที่สร้างแบบสุกเอาเผากิน คบเพลิงน้ำมันโพรเพนเป็นแสงสว่างเดียวที่เธอเคยได้เห็น เวลาส่วนมากเธอใช้ไปกับความมืดมิด ด้านล่างพื้นของช่องแคบใต้บ้านนี้เป็นดินแดง แผ่นกระดานเหนือศีรษะเธอมันอยู่ต่ำมากจนเธอแทบจะนั่งยองๆไม่ได้
ความมืดมิดปกคลุมทั่วไปหมด เธอมองไม่เห็นเขาแม้กระทั่งตอนที่เขาเปิดประตูเล็กๆนั่นและคืบผ่านเข้ามาในช่องแคบนี้ แต่เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงคำรามออกจมูกของเขา เขาปลดล็อคเพื่อเปิดห้องขังพร้อมกับปีนเข้ามาภายใน
และแล้วก็จะมาจุดคบเพลิงตรงนั้น เธอพอจะมองเห็นหน้าอันอัปลักษณ์และโหดเหี้ยมของเขาข้างแสงไฟนั่น เขาชอบเอาจานอาหารบ้าๆมายั่วเธอ หากเธอเอื้อมมือจะไปหยิบแล้วล่ะก็ เธอก็จะเจอกับคบเพลิงที่เขาจะสาดมา เธอจะไม่ได้กินอะไรหากไม่ยอมโดนไฟลวก…
ไรล์ลี่เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพมันจะดูเลือนลางหากเธอลืมตา แต่เธอก็ไม่สามารถเอาความทรงจำพวกนี้ออกไปจากมโนสำนึกได้ เธอจัดการอาหารเช้าต่อไปเหมือนหุ่นยนต์ อดรินาลีนตอนนี้แผ่เต็มทั่วร่าง ในขณะที่กำลังจะเอาจานอาหารไปวางที่โต๊ะกินข้าว ลูกสาวก็ตะโกนเข้ามาอีกรอบ
“แม่ อีกนานมั้ยเนี่ย?”
เธอสะดุ้งจนทำจานหลุดมือหล่นลงแตกกระจาย
“เกิดอะไรขึ้น?” เอพริลตะโกนเข้ามาแล้วมาโผล่อยู่ข้างเธอ
“ไม่มีอะไร” ไรล์ลี่ตอบ
เธอจัดการทำความสะอาด ระหว่างที่เธอและเอพริลนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันนั้น ความเงียบจากอาการต่อต้านก็เข้าปกคลุมเป็นเรื่องปกติ ไรล์ลี่เคยอยากจะจบไอ้วัฏจักรแบบนี้เลยเคยลองพูดแทรกความเงียบขึ้นมาหาเอพริลว่า เอพริล นี่แม่เองนะ และแม่ก็รักหนูนะ แต่เธอเคยลองมาหลายครั้งแล้ว และมันก็ทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ลูกสาวของเธอเกลียดเธอ และเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไม – หรือจะจบมันได้ยังไง
“วันนี้ลูกจะทำอะไรบ้าง” เธอถามเอพริล
“แม่ว่าไงหล่ะ” เอพริลตอบสะบัด “ก็ไปเรียนน่ะสิ”
“แม่หมายถึงหลังจากนั้น” ไรล์ลี่ตอบด้วยเสียงราบเรียบและห่วงใย “แม่เป็นแม่ของลูก แม่อยากจะรู้ มันเป็นเรื่องปกติ”
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับชีวิตเราที่ปกติ”
ทั้งสองกินข้าวต่อภายใต้ความเงียบไปอีกอึดใจ
“ลูกไม่เคยเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย” ไรล์ลี่พูดขึ้น
“แม่ก็ไม่เคยเล่าอะไรเหมือนกัน”
และนั่น ก็สิ้นสุดความหวังใดๆว่าแม่ลูกจะมีบทสนทนากันต่อจากนี้
ก็ยุติธรรมดีแล้ว ไรล์ลี่คิดอย่างขมขื่น มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มากกว่าที่เอพริลคิดซะอีก เธอไม่เคยบอกเอพริลเกี่ยวกับงานของเธอเลย ไม่ว่าจะคดีต่างๆหรืออะไร เธอไม่เคยบอกเอพริลเรื่องที่เธอถูกจับตัวไป หรือที่เธอเข้าโรงพยาบาล หรือเรื่องที่ทำไมเธอถึงอยู่ในช่วง “พักร้อน” ตอนนี้ สิ่งที่เอพริลรู้มีเพียงแค่ว่าเธอต้องไปอยู่กับพ่อตลอดเวลาในช่วงนั้น และเธอก็เกลียดพ่อของเธอมากกว่าที่เกลียดไรล์ลี่ซะอีก แต่ไม่ว่าไรล์ลี่อยากจะเล่าให้เธอฟังแค่ไหน เธอคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดแล้วสำหรับเอพริลที่ไม่ต้องรู้ว่าแม่ของเธอประสบกับอะไรมา
ไรล์ลี่แต่งตัวขับรถไปส่งเอพริลที่โรงเรียน ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย พอเอพริลลงจากรถ เธอก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “แล้วเจอกันตอนสิบโมง”
เอพริลโบกมือส่งๆมาให้เธอแล้วเดินจากไป
ไรล์ลี่ขับรถไปที่ร้านขายกาแฟใกล้ๆ ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรของเธอไปแล้ว มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในที่สาธารณะ แต่เธอก็รู้ดีว่าทำไมนั่นถึงเป็นสิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำให้ได้ ร้านกาแฟเป็นร้านเล็กๆลูกค้าไม่เยอะแม้ว่าจะเป็นเวลาเช้าๆแบบนี้ ทำให้เธอไม่รู้สึกเหมือนโดนคุกคามซักเท่าไหร่
ระหว่างที่เธอนั่งจิบคาปูชิโน่อยู่นั้นเอง เธอก็นึกไปถึงคำขอร้องของบิลอีก ให้ตายเหอะ นี่มันหกอาทิตย์มาแล้ว มันต้องเปลี่ยนได้แล้ว ตัวเธอ ต้องเปลี่ยนได้แล้ว เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำยังไง
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว เธอรู้แล้วว่าเธอต้องทำอะไรเป็นอันดับแรก