Читать книгу ความรัก - Morgan Rice - Страница 8

บทที่หนึ่ง

Оглавление

ตรอกฮัดสัน นิวยอร์ก

(ปัจจุบัน)

นับเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่ เคทลิน เพน รู้สึกผ่อนคลาย เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นของโรงนาขนาดเล็ก เอนหลังพิงกับกองฟางและปล่อยลมหายใจออกมา กองไฟเล็ก ๆ ในเตาผิงที่ทำจากหินอยู่ห่างออกไปประมาณสิบฟุต เธอเติมฟืนใส่เข้าไป เสียงของไม้กำลังมอดไหม้ เดือนมีนาคมที่ยาวนานยังไม่ผ่านพ้นไป และค่ำคืนนี้ช่างหนาวเป็นพิเศษ หน้าต่างบนกำแพงอีกฝั่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของท้องฟ้ายามราตรี หิมะด้านนอกยังคงตกลงมา

ภายในโรงนาไม่ได้อบอุ่น แต่เธอนั่งอยู่ใกล้กับกองไฟมากพอที่จะทำให้ความหนาวหมดไป เธอรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เปลือกตาของเธอหนักขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นของเปลวไฟอบอวลไปทั่วโรงนา การเอนกายพักผ่อนทำให้อาการตึงบริเวณไหล่และขาของเธอเริ่มที่จะบรรเทาลง

แน่นอนว่าเหตุผลที่แท้จริงของความสงบสุขตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะไฟ หรือกองฟาง หรือแม้แต่ที่พักในโรงนา แต่เป็นเพราะเขา คาเลป เธอนั่งมองและจับจ้องสายตาไปที่เขา

เขานอนอยู่ตรงข้ามกับเธอ ห่างออกไปประมาณสิบห้าฟุต ทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสม เขากำลังหลับ เธอใช้โอกาสนี้ในการมองพิจารณาเขาอย่างละเอียด ใบหน้าของเขา ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ผิวพรรณที่ซีดและสว่างใส เธอไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่ดูงดงามเช่นนี้มาก่อน มันช่างเป็นภาพที่เหนือความจริง ราวกับการมองดูประติมากรรมชิ้นเอก เธอไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาได้อย่างไรตั้ง 3,000 ปี ในขณะที่เธออายุ 18 ปี กลับดูเหมือนอายุมากกว่าเขาเสียอีก

แต่มันเป็นสิ่งที่มากกว่าลักษณะภายนอก บรรยากาศรอบตัวของคาเลป พลังงานลึกลับที่แผ่ออกมา เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นใจ เมื่อได้อยู่ใกล้กับเขา เธอรู้ว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี

เธอมีความสุขที่เขายังคงอยู่ที่นี่ และหวังว่าเธอกับเขาจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งตำหนิตัวเอง เธอรู้ว่าเธอกำลังสร้างปัญหา ผู้ชายอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะมายึดติดกับสิ่งใด ไม่เกี่ยวกับว่าเขาถูกสร้างมาอย่างไร

คาเลปนอนหลับสนิท หายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ นั่นทำให้เธอบอกได้ยากว่าเขาเคยง่วงนอนบ้างไหม เขาเพิ่งออกไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกว่าจะไปดื่ม เมื่อกลับจากข้างนอกเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น เขาแบกไม้ฟืนมาจำนวนหนึ่งสำหรับปิดประตูโรงนาเพื่อป้องกันลมหิมะ และเริ่มก่อกองไฟ ในขณะที่เขากำลังหลับอยู่ เคทลินนั่งคิดไปเรื่อย ๆ

เธอเอื้อมมือออกไปและจิบไวน์แดงอีกครั้ง ของเหลวอันอบอุ่นช่วยทำให้ร่างกายของเธอผ่อนคลาย เธอพบขวดไวน์ในหีบที่ซ่อนอยู่ใต้กองฟาง เธอจำได้ว่า แซม น้องชายคนเล็กของเธอได้ซ่อนเอาไว้เมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอไม่เคยดื่มมาก่อน แต่เธอคิดว่าการจิบเพียงไม่กี่คำคงไม่เสียหาย โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้ผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ

เคทลินวางสมุดบันทึกลงบนตัก หน้ากระดาษเปิดอยู่ มือข้างหนึ่งถือปากกาและอีกข้างถือแก้วไวน์ เธอถือค้างอย่างนี้มานาน 20 นาทีแล้ว เธอไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน เธอไม่เคยมีปัญหากับการเขียนมาก่อน แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เหตุการณ์ในหลาย ๆ วันที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากที่จะอธิบาย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นั่งลงอย่างผ่อนคลาย และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกปลอดภัย

เธอตัดสินใจว่าการเริ่มตั้งแต่ต้นคงจะดีที่สุด สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำไมเธอจึงอยู่ที่นั่น เธอเคยเป็นใครมาก่อน เธอต้องการอธิบายออกมา เธอไม่มั่นใจว่าเธอจะรู้คำตอบด้วยตัวของเธอเองอีกต่อไป

*

ชีวิตดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว ฉันเริ่มชอบโอ๊กวิลล์ วันหนึ่งแม่เดินเข้ามาและบอกว่าเรากำลังจะย้ายบ้าน ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกลับมาอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่า ไม่ใช่ชานเมือง แต่เป็นนิวยอร์ก โรงเรียนรัฐบาลกลางเมือง ชีวิตในป่าคอนกรีต และละแวกบ้านที่อันตราย

แซมหัวเสียเช่นกัน เราพูดคุยว่าเราจะไม่ไป คิดเกี่ยวกับการหนี แต่ความจริงคือเราไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว

เราจึงจำเป็นต้องไป เราทั้งคู่แอบสัญญากันว่าถ้าเราไม่ชอบ เราจะหนีไป และค้นหาสถานที่สักแห่ง ที่ไหนก็ได้ บางทีอาจจะพยายามออกตามหาพ่ออีกครั้ง แม้เราทั้งคู่จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ร่างกายของฉัน การกลายร่าง การเปลี่ยนแปลง ฉันยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หรือฉันได้กลายเป็นใคร รู้เพียงแค่ว่าฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ฉันจดจำค่ำคืนแห่งโชคชะตานั้นได้ เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ณ หอประชุมคาร์เนกี้ การเดทของฉันกับโจนาห์ และหลังจากนั้น…ช่วงหยุดพัก การหาอาหาร…ของฉัน? การฆ่าใครสักคน? ฉันไม่สามารถจำเรื่องราวทั้งหมดได้ ฉันรู้แต่สิ่งที่พวกเขาบอก ฉันรู้ว่าคืนนั้นฉันได้ทำอะไรบางอย่าง แต่ทุกอย่างเป็นภาพที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าฉันได้ทำอะไรลงไป มันยังคงเหมือนหลุมลึกที่อยู่ในท้องของฉัน ฉันไม่เคยต้องการทำร้ายใครเลย

วันถัดมา ฉันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ฉันแข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น ไวต่อแสงมากขึ้น และฉันสามารถได้กลิ่นสิ่งต่าง ๆ สัตว์ที่อยู่รอบตัวของฉันมีท่าทีประหลาด และฉันรู้สึกว่าตัวฉันเองก็มีท่าทีแปลก ๆ กับพวกมันเหมือนกัน

หลังจากนั้นแม่บอกว่าเธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของฉัน ต่อมาแม่ถูกฆ่าโดยพวกแวมไพร์เหล่านั้น พวกเดียวกับที่ไล่ตามฉันมา ฉันไม่เคยต้องการเห็นเธอเจ็บปวดเช่นนั้น ฉันยังคงรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของฉัน แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองไปที่นั่นได้ ฉันต้องมุ่งไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหน้า สิ่งที่ฉันสามารถควบคุมได้

ฉันถูกแวมไพร์ร้ายพวกนั้นจับตัว และการหลบหนีของฉัน คาเลปมาช่วยฉันไว้ หากไม่มีเขา ฉันมั่นใจได้ว่าพวกมันจะต้องฆ่าฉัน หรือแย่มากกว่านั้น

กลุ่มของคาเลป และผู้คนของเขาแตกต่างออกไป แต่แวมไพร์ก็เหมือนกันหมด เขตแดน ความอิจฉา ความไม่ไว้วางใจ พวกเขาขับไล่ฉันออกมา และพวกเขาทำให้คาเลปไม่มีทางเลือก

แต่คาเลปเลือกฉัน เขายอมละทิ้งทุกอย่าง เขาช่วยฉันไว้อีกครั้ง เขาเสี่ยงอันตรายมาเพื่อฉัน ฉันมีความสุขกับเรื่องนั้นมากกว่าที่เขารู้

ฉันช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน เขาคิดว่าฉันคือผู้ถูกเลือก สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์ของแวมไพร์หรืออะไรบางอย่าง เขาเชื่อว่าฉันจะสามารถพาเขาไปพบกับดาบที่หายสาบสูญ เพื่อหยุดยั้งสงครามแวมไพร์และช่วยชีวิตทุกคน โดยส่วนตัวฉันไม่เชื่อเรื่องนั้น ผู้คนของเขาก็ไม่เชื่อ แต่ฉันรู้ว่านั่นคือทั้งหมดที่เขามี และมันหมายถึงทุกอย่างสำหรับเขา เขายอมเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฉัน และมันเป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ สำหรับฉันมันไม่ได้เกี่ยวกับดาบเลย ฉันแค่ไม่ต้องการมองเห็นเขาจากไป

ดังนั้นฉันจะทำอะไรก็ตามที่ฉันสามารถทำได้ ฉันต้องการค้นหาพ่อของฉัน และต้องการรู้ว่าเขาคือใคร ฉันเป็นใครกันแน่ ไม่ว่าฉันจะเป็นครึ่งแวมไพร์ หรือครึ่งมนุษย์ หรืออะไรก็ตาม ฉันต้องการคำตอบ อย่างน้อย ฉันต้องการรู้ว่าฉันกำลังจะกลายเป็นอะไร…

*

“เคทลิน?”

เธอสะดุ้งตื่นด้วยความงุนงง มองขึ้นไปเห็นคาเลปยืนอยู่เหนือเธอ เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน และส่งยิ้มให้เธอ

“ข้าคิดว่าเจ้าเผลอหลับไป” เขาพูด

เธอมองไปรอบ ๆ สมุดบันทึกของเธอเปิดอยู่บนตักและเธอรีบปิดลงทันที แก้มของเธอแดงก่ำ หวังว่าเขาคงไม่เห็น โดยเฉพาะส่วนที่เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา

เธอลุกขึ้นนั่งและขยี้ตา ขณะนี้ยังคงเป็นเวลากลางคืน และกองไฟยังคงลุกไหม้อยู่ แม้ว่าจะเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว เขาน่าจะเพิ่งตื่นอย่างแน่นอน เธอสงสัยว่าเธอเผลอหลับไปนานแค่ไหน

“ขอโทษ” เธอพูด “ฉันเพิ่งได้หลับเป็นครั้งแรกในช่วงหลายวันมานี้”

เขายิ้มอีกครั้ง และตรงเดินไปยังกองไฟ โยนไม้ฟืนเข้าไปอีกหลายท่อน เสียงปะทุดังออกมา แสงไฟในโรงนาสว่างขึ้น เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เท้าของเธอ

คาเลปยืนนิ่ง เขาจ้องมองลงไปยังกองไฟ รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปในขณะที่เขาจมลงสู่ความคิด ใบหน้าของเขาส่องสว่างจากประกายแสงอันอบอุ่น ทำให้เขาดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตของเขาเบิกกว้าง และดวงตาคู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน

เคทลินลุกขึ้นนั่งตัวตรง ไวน์แดงของเธอยังคงเหลือเกือบเต็มแก้ว เธอหยิบมาจิบ รสชาติของไวน์ทำให้เธออบอุ่น เธอไม่ได้กินอะไรมาสักพักแล้ว และเธอนึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นแก้วพลาสติกที่วางอยู่ เธอควรจะมีมารยาท

“ฉันรินให้คุณเอาไหม?” เธอถาม และพูดต่ออย่างเป็นกังวล “เอ่อ ฉันหมายถึง ฉันไม่รู้ว่าคุณดื่มหรือเปล่า…”

เขาหัวเราะออกมา

“ดื่มสิ แวมไพร์ก็ดื่มไวน์เช่นกัน” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม เดินเข้ามาและถือแก้วเอาไว้ในขณะที่เธอรินให้

เธอรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา แต่เป็นเสียงหัวเราะของเขาที่ช่างดูอ่อนโยน งดงาม และค่อย ๆ จางหายไปภายในห้องอย่างนุ่มนวล ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาคือเรื่องลึกลับ

ในขณะที่เขายกแก้วไวน์ขึ้นสัมผัสกับริมฝีปาก เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา หวังว่าเขาจะมองกลับมา

เขามองมาที่เธอ

จากนั้นทั้งคู่ต่างหลบสายตาพร้อมกัน เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นรัว

คาเลปเดินกลับไปยังที่ของเขา นั่งลงบนกองฟาง เอนหลังพิง และมองมาที่เธอ ตอนนี้ดูเหมือนเขากำลังพิจารณาเธอ เธอเริ่มรู้สึกประหม่า

เธอใช้มือจับไปตามเสื้อผ้าของเธอโดยไม่รู้ตัว และหวังว่าเธอน่าจะใส่อะไรที่ดูสวยกว่านี้ เธอพยายามนึกถึงสิ่งเธอสวมใส่ ในที่แห่งหนึ่งของการเดินทาง เธอจำไม่ได้ว่าที่ไหน เธอและคาเลปได้หยุดในเมืองชั่วครู่ เธอเข้าไปในร้านเสื้อผ้าทหารเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

เธอมองดูตัวเองอย่างตกตะลึง และจดจำไม่ได้แม้แต่ตัวของเธอเอง เธอกำลังใส่กางเกงยีนส์สีซีดขาดรุ่งริ่ง รองเท้าผ้าใบหลวม ๆ สวมเสื้อกันหนาวทับเสื้อยืด คลุมด้วยเสื้อโค้ทสีม่วงซีดที่กระดุมหายไปหนึ่งเม็ด ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเธอ แต่มันอบอุ่น และตอนนี้มันคือสิ่งที่เธอต้องการ

เคทลินรู้สึกไม่มั่นใจ ทำไมเขาต้องเห็นเธอในสภาพแบบนี้ โชคชะตาได้ทำให้เธอพบกับผู้ชายที่ชอบจริง ๆ เป็นครั้งแรก เธอไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำให้ตัวเองดูดี โรงนาแห่งนี้ไม่มีห้องน้ำ และถึงแม้จะมี เธอก็ไม่มีเครื่องสำอาง เธอหลบสายตาอีกครั้งอย่างเขินอาย

“ฉันหลับไปนานมั้ย?” เธอถาม

“ข้าไม่แน่ใจนัก ข้าเพิ่งตื่น” เขาพูด พลางเอนไปข้างหลังและใช้มือเสยผม “ข้าเพิ่งอิ่มท้องเมื่อตอนค่ำ มันทำให้ข้าง่วง”

เธอมองไปที่เขา

“บอกฉันหน่อย” เธอพูด

เขาหันมองมาที่เธอ

“การดื่ม” เธอพูดต่อ “มันเป็นยังไง? คุณออกไป…ฆ่าคนเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าไม่เคยทำ” เขาพูด

ภายในห้องเงียบลง ในขณะที่เขากำลังรวบรวมความคิด

“เช่นเดียวกับทุกอย่างในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ มันเป็นความซับซ้อน” เขาพูด “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นแวมไพร์ประเภทไหน และเจ้าอยู่กลุ่มใด ในกรณีของข้า ข้าดื่มเลือดจากสัตว์เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกวาง กวางมีจำนวนเยอะมากเกินไปและมนุษย์ก็ล่าพวกมันเช่นกัน”

สีหน้าของเขาเริ่มขุ่นมัว

“แต่กลุ่มอื่นไม่ได้มีความเมตตาเช่นนั้น พวกเขาหากินกับมนุษย์ โดยทั่วไปกับพวกที่ไม่พึงประสงค์”

“ไม่พึงประสงค์เหรอ?”

“พวกเร่ร่อน หลงถิ่น โสเภณี…คนเหล่านั้นไม่เป็นที่สังเกต นั่นคือวิธีที่มักจะทำกัน พวกเขาไม่ต้องการสร้างความสนใจมายังเผ่าพันธุ์”

“นี่คือสาเหตุที่กลุ่มของข้า เผ่าพันธุ์แวมไพร์ของข้า ถูกมองว่าเป็นเลือดบริสุทธิ์ และแวมไพร์ประเภทอื่น ๆ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพวกไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่เจ้าดื่ม…มันคือพลังงานที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเจ้า”

เคทลินนั่งเงียบ กำลังครุ่นคิด

“แล้วฉันล่ะ?” เธอถาม

เขามองมาที่เธอ

“ทำไมบางครั้งข้าต้องหาดื่ม แต่บางครั้งก็ไม่ต้อง?”

คาเลปขมวดคิ้ว

“ข้าไม่แน่ใจ เจ้าแตกต่างออกไป เจ้าเป็นพันธุ์ผสม มันเป็นสิ่งที่หายาก…ข้ารู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ แต่แวมไพร์อื่น ๆ จะเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน สำหรับเจ้ามันมีขั้นตอน เจ้าอาจต้องใช้เวลาในการรับมือ เพื่อผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนี้”

เคทลินคิดย้อนกลับไป และจำได้ถึงความหิวโหยที่ทรมาน มันครอบงำเธอได้อย่างไร มันทำให้เธอไม่สามารถคิดอะไรออกนอกจากการหาอาหาร มันเป็นสิ่งที่แย่มาก เธอกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเกิดขึ้นอีกตอนไหน?”

เขามองมาที่เธอ “เจ้าไม่มีทางรู้”

“แต่ฉันไม่อยากฆ่ามนุษย์” เธอพูด “ไม่คิดที่จะทำ”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำ เจ้าสามารถหากินกับสัตว์ได้”

“แต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อฉันติดอยู่ที่ไหนสักแห่งจะทำยังไง?”

“เจ้าจะต้องเรียนรู้วิธีการควบคุม เจ้าต้องฝึกฝน และใช้จิตใจที่เข้มแข็ง มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถควบคุมได้ มันคือสิ่งที่แวมไพร์ทุกตนต้องผ่านพ้นไป”

เคทลินกำลังคิดว่าการจับและกินสัตว์ที่มีชีวิตจะเป็นอย่างไร เธอรู้ว่าความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่เธอไม่รู้ว่าเธอเร็วขนาดไหน และเธอไม่รู้ว่าการจับกวางจริง ๆ ต้องทำอย่างไร

เธอมองไปที่คาเลป

“คุณจะสอนฉันไหม?” เธอถามด้วยความหวัง

เขาสบตากับเธอ เธอสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอยู่

“การออกหาอาหารคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าพันธุ์ของเรา มักจะเป็นเรื่องที่ต้องทำเพียงลำพัง” เขาพูดอย่างนุ่มนวลและในเชิงขอโทษ “เว้นแต่…” เขาลากเสียง

“เว้นแต่อะไร?” เธอถาม

“ในพิธีแต่งงาน เพื่อผูกสัมพันธ์คู่สามีและภรรยา”

เขาหลบสายตา เธอสามารถมองเห็นการเปลี่ยนท่าทีของเขา เธอรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดมาที่แก้ม และทันใดนั้นภายในห้องก็อบอุ่นขึ้นมา

เธอตัดสินใจที่จะไม่นึกถึงมัน ตอนนี้เธอไม่มีต้องเจ็บปวดจากความหิวโหยแล้ว และเธอจะผ่านพ้นไปให้ได้เมื่อมันมาถึง เธอหวังว่าในตอนนั้นเขาจะอยู่เคียงข้างเธอ

นอกจากนี้ ลึก ๆ แล้วเธอไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับการหาอาหาร หรือเรื่องแวมไพร์ หรือดาบ หรืออะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เธอต้องการรู้คือเรื่องของคาเลป แท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ ในใจของเธอมีคำถามมากมายที่ต้องการถามออกไป ทำไมคุณต้องเสี่ยงทุกอย่างเพื่อฉัน? เพียงเพื่อค้นหาดาบเหรอ? หรือมีเหตุผลอื่นไหม? เมื่อคุณพบดาบแล้ว คุณจะยังคงอยู่กับฉันอีกไหม? แม้ว่าความรักกับมนุษย์เป็นเรื่องต้องห้าม คุณจะข้ามเส้นกั้นนั้นเพื่อฉันหรือไม่?

แต่เธอกลับรู้สึกกลัว

เธอจึงพูดออกไปง่าย ๆ แทนว่า “ฉันหวังว่าเราจะพบดาบของคุณ”

สิ้นคิดที่สุด เธอคิดในใจ นั่นคือคำพูดที่ดีที่สุดแล้วเหรอเนี่ย? เธอไม่เคยกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิดเลยใช่ไหม?

แต่พลังงานของเขาช่างรุนแรง เมื่อไรก็ตามที่เธออยู่ใกล้เขา การคิดอะไรให้ออกสักอย่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นเหลือเกิน

“ข้าก็หวังเช่นนั้น” เขาตอบกลับมา “ดาบนั่นไม่ใช่อาวุธธรรมดา มันถูกเสาะหาโดยเผ่าพันธุ์ของเรามานานนับศตวรรษ เล่ากันว่าเป็นดาบชาวเติร์กที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ทำจากเหล็กกล้าที่สามารถสังหารแวมไพร์ได้ทุกตน หากเรามีดาบนี้ เราก็จะไร้เทียมทาน แต่ถ้าเราไม่มี…”

เขาหยุดพูด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวที่จะเอ่ยออกมา

เคทลินหวังว่าแซมจะอยู่ที่นี่ หวังว่าเขาจะช่วยพาเธอไปหาพ่อ เธอมองดูรอบ ๆ โรงนาอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของเขาเลย เธอไม่น่าทำโทรศัพท์มือถือหาย ถ้ามีโทรศัพท์ ชีวิตของเธอคงจะง่ายกว่านี้

“แซมมักจะมากบดานที่นี่” เธอพูด “ฉันแน่ใจว่าเขาจะอยู่ที่นี่ ฉันรู้เขากลับมาเมืองนี้…ฉันมั่นใจ เขาจะไม่ไปที่อื่น พรุ่งนี้เราจะไปที่โรงเรียน และจะถามจากเพื่อนของฉัน ฉันต้องการคำตอบ”

คาเลปพยักหน้า “เจ้าเชื่อว่าเขาจะรู้ว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?” เขาถาม

“ฉัน…ไม่รู้” เธอตอบ “แต่ฉันรู้ว่าเขารู้เรื่องราวของพ่อมากกว่าฉัน เขาพยายามค้นหามาตลอด ถ้าจะมีใครรู้อะไรสักอย่างก็ต้องเป็นเขา”

เคทลินนึกถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่เคยอยู่กับแซม การค้นหาของเขา เขามักบอกเธอเมื่อพบเบาะแสใหม่ ๆ และมักจะผิดหวังเสมอ คืนนั้นเขาไปที่ห้องของเธอและนั่งลงบนขอบเตียง ความปรารถนาที่ต้องการพบพ่อเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเขา เธอเองก็อยากพบพ่อแต่ไม่มากเท่าเขา บางครั้งความผิดหวังของเขานั้นยากที่จะทำใจให้มองดู

เคทลินนึกย้อนถึงชีวิตวัยเด็กที่ยุ่งเหยิง สิ่งที่พวกเขาพลาดไปทั้งหมด ทันใดนั้นเธอได้ตกสู่ห้วงของอารมณ์ ดวงตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เคทลินรู้สึกเขินอาย เธอจึงใช้มือปาดออกไปอย่างรวดเร็ว และหวังว่าคาเลปจะไม่เห็น

แต่เขาเห็น เขาจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง

คาเลปลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ และนั่งลงข้างเธอ เขาเข้ามาใกล้มากจนเธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานที่รุนแรงของเขา หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

เขาค่อย ๆ ใช้นิ้วปัดเส้นผมของเธอออกจากใบหน้าอย่างนุ่มนวล ลากไปทางหางตา และลงไปที่แก้มของเธอ

เธอก้มหน้าลง จ้องมองไปที่พื้น ไม่กล้าสบตากับเขา เธอรู้เขากำลังมองเธออยู่

“ไม่ต้องกังวล” เขาพูด น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของเขาทำให้เธอสงบลง “เราจะหาพ่อของเจ้า เราจะช่วยกัน”

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอกังวล เธอกำลังกังวลเกี่ยวกับคาเลป กังวลว่าเขาจะจากเธอไป

ถ้าเธอเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้ เธอสงสัยว่าเขาจะจูบเธอหรือเปล่า เธอจินตนาการถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะได้สัมผัสริมฝีปากของเขา

แต่เธอไม่กล้าหันมา

เวลายาวนานเหมือนเป็นชั่วโมงผ่านพ้นไป ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าที่จะหันไป

แต่คาเลปเอนตัวลงนอนบนกองฟางเรียบร้อยแล้ว เขาหลับตาลง รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนอยู่ใบหน้าของเขา ส่องสว่างด้วยแสงจากกองไฟ

เธอขยับเข้าไปใกล้และโน้มตัวลงไป วางหัวของเธอห่างจากไหล่ของเขาไม่กี่นิ้ว ทั้งคู่เกือบจะแนบชิดกัน

และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับเธอ

ความรัก

Подняться наверх