Читать книгу ประทานพรแห่งสรรพาวุธ เล่ม 8 ในชุด วงแหวนของผู้วิเศษ - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 8

บทที่สอง

Оглавление

เจ้าชายรีสทรงยืนอยู่ด้านหน้าทางข้ามฝั่งตะวันออกของหุบเขาใหญ่ ทรงเกาะแน่นอยู่กับราวหินด้านข้างสะพาน ทรงทอดพระเนตรลงไปยังหน้าผาด้วยความหวาดกลัว. พระองค์ทรงแทบจะหยุดหายใจ พระองค์ไม่สามารถจะเชื่อในสิ่งที่พึ่งทอดพระเนตรเห็น ดาบแห่งโชคชะตาที่ฝังแน่นอยู่ในก้อนหินใหญ่นั้น มันได้ตกลงดำดิ่งลงไปจากขอบหน้าผา มันหมุนกลิ้งลงไปอย่างต่อเนื่อง และถูกกลืนหายไปกับหมอก

พระองค์ทรงรอคอย และทรงรอด้วยความคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงการชนของก้อนหินอย่างแรง เพื่อที่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอยู่ภายใต้พระบาทของพระองค์ แต่พระองค์ถึงกลับต้องทรงตกตะลึงที่ไม่เคยได้ยินเสียงนั้นกลับมาเลย หรือว่าจริงๆ แล้วหุบเขาใหญ่นี้มันไม่มีที่สิ้นสุด หรือเรื่องที่เล่าลือกันมาจะเป็นเรื่องจริง?

ในที่สุด เจ้าชายรีสก็ทรงผละออกมาจากราวสะพาน ข้อพระหัตถ์กลายเป็นสีขาว ทรงถอนหายใจและทรงหันมาทอดพระเนตรยังเพื่อนร่วมกองรบหน่วยทหารยุวชน พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ตรงนั้น มีโอคอนเนอร์ เอลเด็น คอนเว่น อินดรา เซอร์น่าและคร็อกต่างพากันมองออกไปอย่างตกตะลึง พวกเขาทั้งเจ็ดคนยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ ดาบแห่งโชคชะตา ตำนานที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับมัน อาวุธที่สำคัญที่สุดในโลกที่เป็นสมบัติของพระราชา และเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ที่จะทำให้โล่พลังงานดำรงอยู่

มันเพิ่งจะหลุดออกไปจากพวกเขาเพียงแค่มือเอื้อม ตกลงไปยังโลกอันลับเลือน

เจ้าชายรีสทรงรู้สึกว่าพระองค์ทรงประสบกับความล้มเหลว พระองค์รู้สึกว่าทรงทำให้ใครๆ ต้องผิดหวังที่มันมิใช่เป็นเพียงการกระทำเพื่อธอร์เท่านั้น แต่เป็นทั้งอาณาจักรวงแหวน ทำไมพวกเขาไม่ได้ไปถึงตรงนั้นก่อน เพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น? มันห่างไปแค่เพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้นที่พระองค์จะสามารถรักษามันเอาไว้ได้

เจ้าชายรีสทรงหันไปมอง ณ ด้านที่อยู่ไกลออกไปของหุบเขาใหญ่ นั่นคือฝั่งของอาณาจักรจักรวรรดิ พระองค์ทรงพยายามทำพระทัย ใน เมื่อดาบได้สูญหายไปแล้ว พระองค์ทรงคาดว่าโล่พลังจะลดระดับลงและคาดว่าทหารจักรวรรดิทั้งหมดกำลังพากันเข้าแถวรออยู่อย่างอลหม่าน ณ อีกฝั่งหนึ่งของหุบเขานั้นจะกรูกันเข้ามายังอาณาจักรวงแหวนในทันที แต่สิ่งน่าประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเฝ้ามองและเห็นว่า ไม่มีพวกนั้น ไม่มีคนไหนผ่านเข้ามายังสะพานได้ ทหารคนหนึ่งลองก้าวเข้ามา แต่เขาก็ต้องพบกับจุดจบในทันที

อย่างไรก็ตาม โล่พลังยังคงใช้การได้ ซึ่งพระองค์มิอาจเข้าใจได้

"มันดูไม่มีเหตุผล" เจ้าชายรีสตรัสกับพระสหาย "ดาบแห่งโชคชะตาได้สูญหายไปจากอาณาจักรวงแหวน แล้วโล่พลังยังคงอยู่ได้อย่างไร?"

"ดาบนั่นยังไม่ได้สูญหายไปจากอาณาจักรวงแหวน" โอคอนเนอร์เสนอแนะ "มันยังไม่ข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของอาณาจักรวงแหวน มันตกตรงดิ่งลงไป แล้วคงจะติดอยู่ที่ไหนในระหว่างสองโลกนี้"

"แล้วสิ่งใดได้กลายมาเป็นโล่พลัง หากดาบไม่ได้อยู่ที่ดินแดนนี้ หรือแดนนั้น?" เอลเด็นพูดเสริมอย่างเห็นพ้อง

พวกเขาทุกคนต่างมองกันและกันด้วยความสงสัยไม่มีใครมีคำตอบ มันเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีใครเข้าไปสำรวจ

"เราเดินจากไปเปล่าๆไม่ได้" เจ้าชายรีสตรัส "อาณาจักรวงแหวนยังคงปลอดภัย หากดาบติดอยู่ทางฝั่งเรา แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากดาบยังถูกปล่อยทิ้งไว้อยู่ข้างล่างนั่น"

"เมื่อมันไม่ได้อยู่ในการครอบครองของเรา เราก็ไม่รู้ว่ามันจะโดนนำไปอีกฝั่งหนึ่งหรือไม่" เอลเด็นกล่าวเสริมอย่างเห็นพ้อง

"มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาเสี่ยง" เจ้าชายรีสตรัส "โชคชะตาแห่งอาณาจักรวงแหวนขึ้นอยู่กับมัน เราไม่สามารถกลับไปมือเปล่าอย่างคนล้มเหลวได้"

เจ้าชายรีสหันกลับไปทอดพระเนตรยังทุกคน ทรงตัดสินพระทัยแล้ว

"เราจะต้องนำมันคืนมา" พระองค์ทรงสรุป "ก่อนที่ใครจะเอามาได้"

"นำมันกลับคืนมาหรือ?" คร็อกถามด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน "ท่านล้อเล่นหรือเปล่า? แล้วเราจะวางแผนทำการนั้นอย่างไร?"

เจ้าชายรีสทรงหันมาจ้องกลับไปยังคร็อก ผู้ซึ่งกำลังจ้องกลับมาด้วยท่าทางท้าทายอย่างที่เคย คร็อกได้กลายมาเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับเจ้าชายรีส เขาจะฝ่าฝืนคำสั่งในทุกๆ ครั้ง เขาพยายามท้าทายอำนาจของพระองค์ในทุกสถานการณ์ เจ้าชายจะรีสทรงเริ่มที่จะหมดความอดทนไปกับเขา

"ข้าจะทำมันเอง" เจ้าชายรีสทรงยืนกราน "โดยลงไปถึงข้างล่างของหุบเขานี่"

คนอื่นๆต่างอ้าปากค้าง และคร็อกก็ยกมือขึ้นมาวางบนสะโพกด้วยหน้าตาบูดบึ้ง

"ท่านวิปลาสไปแล้ว" เขากล่าว "ไม่เคยมีใครลงไปถึงยังก้นบึ้งของหุบเขาใหญ่"

"ไม่มีใครรู้ว่ามันจะมีก้นบึ้งอยู่หรือไม่?" เซอร์น่าเข้ามาเสริม "พวกเราทุกคนรู้ว่าดาบได้ถูกตกลงไปกับก้อนเมฆ และอาจจะกำลังดำดิ่งตกลงเรื่อยๆ ขณะที่เรากำลังพูดอยู่นี่"

"ไร้สาระ" เจ้าชายรีสทรงคัดค้าน "ทุกสิ่งจะต้องมีก้นบึ้ง แม้แต่ท้องทะเลก็ตาม"

"แล้วถึงแม้ว่ามันจะมีก้นบึ้ง" คร็อกโต้ตอบกลับมา "แล้วมันจะมีผลดีกับพวกเราอย่างไร? ถ้ามันลึกลงไปขนาดที่พวกเราไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินมัน? มันจะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์"

"นี่ยังไม่ได้รวมถึงการไต่ลงเขาที่ไม่ธรรมดา" เซอร์น่ากล่าว "ท่านไม่เห็นหน้าผานี่หรือ?"

เจ้าชายรีสทรงหันไปสำรวจยังหน้าผา มันเป็นกำแพงหินที่ดูเก่าแก่ของหุบเขาที่บางส่วนถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกที่หมุนวน มันดูเหมือนเป็นทางตรงที่ดิ่งตรงลงไป พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาพูดถูก มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่กระนั้น พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น

"มันยิ่งแย่ไปกว่านั้น" เจ้าชายรีสทรงโต้ตอบ "กำแพงของหน้าผายังมีความลื่น เพราะว่าปกคลุมไปด้วยหมอก และถึงแม้ว่า เราจะลงไปถึงส่วนล่างได้ เราก็อาจจะกลับขึ้นมาไม่ได้"

พวกเขาทุกคนต่างจ้องมองมาที่พระองค์อย่างงุนงง

"ถ้าอย่างนั้น ตัวพระองค์เองก็เห็นด้วยที่ว่า มันเป็นเรื่องบ้าคลั่งที่เราจะต้องไต่ลงไป" คร็อกเอ่ย

"ข้าเห็นด้วยที่มันเป็นเรื่องบ้าคลั่ง"เจ้าชายรีสตรัส พระสุรเสียงดังก้องกังวานไปด้วยอำนาจและความเชื่อมั่น " แต่ความบ้าคลั่งคือสิ่งที่เรามีมาตั้งแต่เกิด พวกเราไม่ใช่แค่ผู้คนธรรมดา พวกเราไม่ใช่เป็นเพียงประชาชนธรรมดาของอาณาจากวงแหวน พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษ พวกเราเป็นทหาร พวกเราเป็นนักรบ พวกเราเป็นสมาชิกของกองทหารยุวชน พวกเราได้ให้คำปฏิญาณสาบานมั่น พวกเราสาบานว่าจะไม่ละทิ้งงานเพียงเพราะว่ามันยากเกินไป หรืออันตรายเกินไป ไม่เคยจะลังเลในความยากลำบากที่แม้จะมีอันตรายกับตนเอง นั่นมันเป็นเรื่องของพวกอ่อนแอที่ต้องคอยหลบซ่อน เป็นพวกขี้ขลาดที่ไม่ใช่พวกเรา นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นนักรบ มันคือแก่นแท้ของความกล้าหาญองอาจ พวกเจ้าได้พากันมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง เพราะว่า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่มีเกียรติ หรือแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายแล้ว มันไม่ใช่ความสำเร็จที่ทำให้เรามีความกล้าหาญ แต่ความพยายามที่จะทำมันขึ้นมา ที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวของเราเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราเป็น"

จากนั้น ความเงียบงันก็เข้าปกคลุม เสียดเสียดสีของลมพัดผ่านไป คนอื่นๆก็พากันไตร่ตรองถึงถ้อยคำของพระองค์

"ข้าจะไปกับเจ้าชายรีส" อินดรากล่าว

"ข้าด้วย" เอลเด็นพูดเสริม พร้อมกับก้าวเข้ามาข้างหน้า

"และตัวข้าด้วย" โอคอนเนอร์พูดเสริม พร้อมกับก้าวมาอยู่เคียงข้างเจ้าชายรีส

คอนเว่นเดินออกมาอย่าเงียบๆ เข้ามาด้านข้างของเจ้าชายรีส เขากำด้ามดาบไว้แน่นและหันหน้าเผชิญหน้ากับทุกคน "เพื่อธอร์กริน" เขากล่าว "ข้าจะไปให้ถึงสุดขอบโลก"

เจ้าชายรีสรู้สึก มีความกลางขึ้นมา เมื่อเขาได้พยายามและมีกองยุวชนทหารอยู่เคียงข้างคนพวกนี้ได้ ใกล้ชิดพระองค์ราวกับเป็นสมาชิกครอบครัวผู้ที่เสี่ยงตายกับพระองค์จนมาถึงสุดขอบอาณาจักรจักรวรรดิพวกเขาทั้งห้ายืนอยู่ตรงนั้นต่างจ้องมอง บ่าที่สมาชิกอีกสองคนคือคร็อกและ เซอร์น่า เจ้าชายรีสทรงสงสัยว่าพวกเขาจะไปด้วยกันหรือไม่ เขาก็จะมาช่วยเสริมแรงแก่พระองค์ แต่หากว่าพวกเขาต้องการจะหันหลังกลับก็ปล่อย ให้มันเป็นไปพระอืมจะไม่ตรัสซ้ำสอง

คร็อกและเซอร์น่ายืนอยู่ตรงนั้นมองจ้องกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ

"ข้าเป็นผู้หญิง" อินดรากล่าวกับพวกเขา "พวกเจ้าล้อเลียนข้ามาก่อน แต่กระนั้น ข้าก็ยังผงาดเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายแห่งนักรบ ในขณะที่พวกเจ้าต่างก็มีมัดกล้าม แต่ทำได้เพียงแค่หยอกล้อและหวาดกลัว"

เซอร์น่าทำเสียงคำรามและรู้สึกรำคาญ เขาปัดผมยาวสีน้ำตาลไปด้านหลัง เขามีดวงตาขนาดเล็กและห่าง เขา ก้าวมาข้างหน้า

"ข้าจะไปด้วย" เขากล่าว " แต่ข้าทำเพื่อธอร์กรินเท่านั้น"

คร็อกเธอเป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเขาเป็นสีแดงและมีท่าทางแข็งขืน

"พวกเจ้าเป็นพวกโง่เง่าเสียจริง" เขากล่าว "พวกเจ้าทุกคนเลย"

แต่กระนั้น เขาก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อมารวมกลุ่ม

เจ้าชายรีสทรงพอพระทัย ทรงหันกลับไปนำพวกเขาสู่ขอบเหวของหุบเขาใหญ่ มันไม่เหลือเวลาให้เสียอีกแล้ว

*

เจ้าชายรีสเกาะตัวอยู่ด้านข้างของหน้าผา ขณะที่ก้าวลงไปทีละน้อย คนอื่นๆอยู่ห่างไปข้างบนหลายฟุต พวกเขาทุกคนต่างเคลื่อนลงมาด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พวกเขาอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง พระทัยของเจ้าชายรีสโหมตีกระหน่ำ เมื่อพระองค์ทรงปีนลงและพยายามยึดพระบาท แน่นอยู่บนหน้าผา ข้อพระหัตถ์แสบและชาไปด้วยความหนาวเย็น พระบาทของพระองค์ไถลไปบนก้อนหินลื่น พระองค์ไม่ได้ทรงคาดว่ามันจะยากลำบากขนาดนี้ พระองค์ทอดพระเนตรลงไปและพยายามสำรวจไปยังภูมิประเทศ ทรงเห็นถึงสภาพของก้อนหินต่างๆ และทรงสังเกตว่าบริเวณด้านล่างมีทั้งก้อนหินที่เป็นแนวตรงดิ่งลงไปและมีความราบเรียบ ที่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปีนลงไปได้ ส่วนอีกที่หนึ่งก็ปกคลุมไปด้วยตะใคร่น้ำหนาทึบและบางที่ก็เป็นทางลาดชันที่มีหินรูปร่างเป็นฟันหยัก เป็นรอยว้าวแหว่ง มีช่องโหว่เต็มไปด้วยซอกและรอยแตกที่จะใช้เท้าแทรกเข้าไปหรือใช้มือจับได้ พระองค์ได้ทรงเห็นเชิงผาที่ยื่นออกมาเป็นช่วงๆ เพื่อให้ทำการหยุดพักได้

แต่กระนั้นการปีนผาได้พิสูจน์แล้วว่ามันยากเกินกว่าที่ประเมินเอาไว้เมฆหมอกที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องได้ปิดบังสภาวะทัศนะวิสัยและเจ้าชายรีสทรงกล้ำกลืนที่จะมองลงไปที่ พระองค์พบว่ามันเป็นการยากที่จะหาตำแหน่งให้วางเท้าลงได้อย่างไม่ต้องกล่าวถึงเวลาหลังจากการปีนเขาลงไปสู่ก้นบึ้งที่แม้ว่ามันจะมีอยู่จริง แต่ก็ยังคงมองไม่เห็นส่วนที่เหลือที่สุดนั้นเลย

ภายในพระทัยของพระองค์นั้น ทรงเต็มไปความหวาดกลัว พระศอลำของพระองค์แห้งผาก และส่วนหนึ่งข้างในนั้นก็ทรงสงสัยว่าพระองค์ได้กระทำความผิดอันใหญ่หลวง

แต่พระองค์เลือกที่จะไม่แสดงความกลัวแก่คนอื่นๆ เมื่อธอร์ได้จากไปแล้ว พระองค์จะต้องเป็นผู้นำในตอนนี้ พระองค์จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี พระองค์รู้ว่าการกระทำตามความกลัวย่อมไม่เกิดผลดีใดๆขึ้นเลย พระองค์จะต้องมีความเข้มแข็งและมีสมาธิ พระองค์ทรงรู้ว่าความกลัวจะบดบังความสามารถของพระองค์

พระหัตถ์ของเจ้าชายรีสสั่นเทา ในขณะที่ทรงพยายามทรงตัวอยู่ พระองค์ทรงบอกกับตัวเองว่าจะต้องลืมสิ่งที่อยู่ข้างล่างและเพ่งสมาธิไปกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า

แค่ไปทีละก้าวๆ พระองค์ตรัสบอกกับตัวเอง พระองค์รู้สึกดีขึ้นที่คิดแบบนี้ เจ้าชายรีสทรงพบว่ามีตำแหน่งที่วางพระบาทอีกที่หนึ่งและทรงก้าวไปอีกหนึ่งก้าว และอีกก้าว และทรงมาเริ่มมีจังหวะการปีนที่สม่ำเสมอ

"ระวังตัวด้วย!" เสียงหนึ่งดังขึ้นมา

เจ้าชายรีสทรงทำพระทัยกล้า ในขณะที่ก้อนกรวดหล่นเทลงมาอยู่รอบพระองค์ มันตกลงมาอยู่บนพระเศียรและบริเวณบ่า พระองค์ทอดพระเนตรขึ้นไปเห็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่กำลังกลิ้งลงมา พระองค์ทรงบ่ายตัวและคลสดกับมันไปเพียงเล็กน้อย

"ข้าขอโทษ"โอคอนเนอร์ตะโกนลงมา "หินมันไม่แน่น"

พระทัยของเจ้าชายรีสตีกระหน่ำ เมื่อพระองค์ทรงมองไปยังด้านล่าง และพยายามทำพระทัยให้นิ่ง พระองค์ทรงอยากรู้เหลือเกินว่าข้างล่างจะเป็นเช่นไร พระองค์เอื้อมไปจับก้อนหินเล็กๆ ที่ตกมาอยู่บนบ่าและทอดพระเนตรลงไปข้างล่างและทรงโยนก้อนหินลงไป ทรงทอดพระเนตรและรอคอยว่ามันจะมีเสียงสะท้อนขึ้นมาหรือไม่ แต่มันไม่มีเสียงใดๆ สะท้อนกลับมาเลย

ความรู้สึกถึงลางร้ายได้ทวีคูณยิ่งขึ้น ขณะที่ยังไม่มีทางรู้ได้ว่าความลึกของหุบเขานี้จะลึกลงไปเท่าใด และด้วยอาการสั่นของพระหัตถ์และพระบาทนั้น พระองค์ทรงไม่อาจทราบได้ว่า พวกเขาจะกระทำมันสำเร็จ พระองค์ทรงกล้ำกลืน ทรงมีความคิดมากมายพรั่งพรูเข้ามา เมื่อพระองค์ทรงปีนต่อไปเรื่อยๆ หรือว่าที่คร็อกเป็นฝ่ายถูกทั้งหมด? หรือจริงๆแล้ว มันไม่มีก้นบึงกันแน่? หรือว่านี่เป็นภารกิจฆ่าตัวตายที่แสนสะเพร่า?

ขณะที่เจ้าชายรีสทรงก้าวไปอีกหนึ่งก้าว ทรงรีบก้าวถี่ๆ ลงมาอีกหลายฟุตและมีแรงผลักลงมากขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้น พระองค์ก็ได้ยินเสียงของก้อนหินชิ้นเล็กๆ และได้ยินเสียงร้องลั่นขึ้นมามีความสับสนอยู่ด้านข้างพระองค์และทรงทอดพระเนตรเห็นเอลเด็นที่กำลังร่วงหล่นไถลผ่านพระองค์ลงไป

เจ้าชายรีสทรงใช้สัญชาตญาณเอื้อมพระหัตถ์จับเข้ากับข้อมือของเอลเด็น ในขณะที่เขาเคลื่อนตัวตกผ่านมา โชคดีที่พระหัตถ์ข้างหนึ่งของเจ้าชายรีสได้เกาะกับหน้าผาเอาไว้แน่น ทำให้พระองค์สามารถตรึงเอลเด็นได้อย่างแน่นหนาและป้องกันตนเองไม่ให้ไถลลื่นลงไป เอลเด็นห้อยแกว่งตัวไปมา ทว่าเขาจะไม่สามารถหาที่วางเท้าได้ เอลเด็นมีลำตัวที่มีขนาดใหญ่และหนัก เจ้าชายรีสทรงเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังเริ่มถดถอยลงไป

อินดราปรากฏตัวขึ้น เธอลงมายังรวดเร็วและเอื้อมไปจับข้อมือของเอลเด็นอีกข้างหนึ่ง เอลเด็นยังคงตะเกียกตะกาย แต่ไม่สามารถหาที่วางเท้าได้

"ข้าหาที่มั่นไม่ได้!" เอลเด็นแผดเสียงกลับมาอย่างแตกตื่น เขาเตะไปมาอย่างรุนแรง และเจ้าชายรีสทรงรู้สึกกลัวว่าเขาจะหลุดไปจากมือแล้วตกลงไปพร้อมกับพระองค์ พระองค์ทรงต้องคิดอะไรให้ได้อย่างเร็วพลัน

เจ้าชายรีสทรงระลึกขึ้นได้ว่ามีเชือกที่โอคอนเนอร์ให้พระองค์ดูก่อนที่พวกเขาจะไต่ลงมา มันเป็นเครื่องมือที่ ใช้วัดกำแพงในช่วงการบุกโจมตีที่เก็บเอาไว้ใช้ตามโอกาสสมควร ครั้งหนึ่งโอคอนเนอร์เคยกล่าวไว้

"โอคอนเนอร์ เชือกของเจ้า!" เจ้าชายรีสทรงตะโกน "โยนมันลงมา!"

เจ้าชายรีสทอดพระเนตรขึ้นไป ทรงเห็นโอคอนเนอร์เป็นเชือกออกจากเอว เขาเอนตัวไปข้างหลัง แล้วปักตะขอเข้ากับซอกกำแพงหิน เขากดมันจมลงไปอย่างสุดแรงและทดสอบมันอีกหลายครั้ง จากนั้นจึงโยนเชือกลงมาด้านล่าง เชือกห้อยแกว่งไปมาผ่านเจ้าชายรีสไป

มันไม่เหลือเวลาอีกแล้ว ฝ่ามืออันเปียกลื่นของเอลเด็นเริ่มไถลหลุดออกจากพระหัตถ์ของเจ้าชายรีส และ ขณะที่เขากำลังจะตกลงมานั้น เอลเด็นก็ฉวยจับเข้ากับเชือกได้ เจ้าชายรีสทรงกลั้นหายใจและภาวนาให้มันตรึงเขาอยู่ได้

และมันก็เป็นเช่นนั้น เอลเด็นค่อยๆ ดึงตัวเองขึ้นมาจนกระทั่งเขาหาตำแหน่งวางเท้าได้ เขายืนอยู่ตรงแนวหินที่ยื่นจากหน้าผา เขาหายใจหอบ แล้วกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง เขาถอนหายใจยาวไปที่เต็มอาการผ่อนคลาย เช่นเดียวกันกับเจ้าชายรีส มันเกือบจะพลาดไปแล้ว

*

พวกเขาไปเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าชายรีสไม่อาจทราบว่าเป็นเวลานานเท่าใดแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มขึ้น  พระเสโทไหลรินแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น พระองค์รู้สึกราวกับว่า เวลาของพระองค์จะหมดลงได้ในทุกชั่วขณะ  พระหัตถ์และพระบาทสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เสียงหายใจหอบดังก้องไปทั่วโสตประสาท พระองค์ทรงสงสัยว่ามันจะต้องไต่ลงไปนานอีกเท่าใด พระองค์ทรงรู้สึกราวกับว่าจะไม่สามารถลงไปก้นบึ้งได้ในเวลาอันใกล้นี้ พวกเขาทั้งหมดจะต้องหยุดและพักผ่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามค่ำคืน แต่ปัญหาก็คือ มันไม่มีที่ไหนให้หยุดและพักผ่อนได้

เจ้าชายรีสไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทรงสงสัยว่าหากพวกเขาเหนื่อยล้ามากเกินไป ถ้าหากว่าพวกเขาอาจจะเริ่มตกลงไปทีละคนๆ

ต่อมา เกิดเสียงดังสนั่นจากก้อนหิน จากนั้นก้อนกรวดเป็นตันๆ ก็ถล่มลงมา มันหล่นมาใส่พระเศียร ตกมายังพระพักตร์และดวงพระเนตรของเจ้าชายรีส พระทัยของพระองค์ทรงหยุดเต้น มันเหมือนกับว่าพระองค์ทรงได้ยินเสียงกรีดร้องซึ่งเสียงมันแตกต่างไป ในครั้งนี้มันเป็นเสียงกรีดร้องแห่งความตาย และที่ปลายสายพระเนตรของพระองค์นั้นเอง พระองค์ได้ทรงเห็นการตกฮวบลงมา มันผ่านพระองค์ไป มันเร็วเกินกว่าที่พระองค์จะรับรู้ได้ มันเป็นร่างๆ หนึ่ง

เจ้าชายรีสทรงเอื้อมมือไปคว้าเขาเอาไว้ แต่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ทั้งหมดทั้งมวลที่พระองค์ทรงสามารถทำได้คือ หันไปแล้วเฝ้าดู พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคร็อกตกลงมากลางอากาศ เขากรีดร้องเสียงแหลม ร่วงลงมาจากด้านหลัง แล้วพุ่งตัวตรงดิ่งลงสู่ความไร้แก่นสาร

ประทานพรแห่งสรรพาวุธ เล่ม 8 ในชุด วงแหวนของผู้วิเศษ

Подняться наверх