Читать книгу นภาแห่งเวทมนตร์ หนังสือเล่มที่ 9 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 13

บทที่ เจ็ด

Оглавление

เจ้าชายรีสทรงออกเดินทาง โดยมีเซลืส อิลเลพร่า เอลเด้น อินดรา โอคอนเนอร์ คอนเว่น คร็อกและเซอร์น่าร่วมทางไปกับพระองค์ พวกเขาทั้งเก้าคนออกเดินทางไปยังฝั่งตะวันตก มันเป็นเวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่พวกเขาเห็นหุบเขาใหญ่ปรากฎขึ้นมา มันคงเป็นที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เจ้าชายรีสทรงทราบว่าประชาชนของพระองค์คงอยู่ตรงเส้นขอบฟ้านั่น ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะตามหาพวกเขาให้จงได้

เจ้าชายรีสทรงรู้สึกสะเทือนใจที่ต้องประพาสผ่านไปยังภูมิประเทศที่อยู่ในสภาพพังพินาศ ท้องทุ่งแห่งซากศพอันไม่มีวันสิ้นสุด กองพะเนิน ของสิ่งปฏิกูลจากพวกนกที่เข้ามาหากิน คราบดำเป็นตอตะโกจากเปลวเพลิงของมังกร ซากศพของทหารจักรวรรดิหลายพันนายเรียงรายเป็นสายไปจนสุดขอบฟ้า บางศพก็ยังคงมีควันครุกรุ่นอยู่ ควันจากร่างของพวกเขาลอยอบอวลไปทั่วบรรยากาศ มันเป็นกลิ่นเหม็นที่ยากจะทัดทานได้ กลิ่นเหม็นเนื้อที่ถูกเผาที่อยู่บนดินแดนที่ถูกทำลายล้าง ใครก็ตามที่ไม่ได้ถูกฆ่าจากลมหายใจของมังกรก็จะถูกสังหารจากการสู้รบจากทหารในสมรภูมิ มีทั้งทหารของแม็คกิลและแม็คคลาวด์นอนตายอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน เมืองทั้งเมืองถูกทำลายล้างและเต็มไปด้วยเศษอิฐหินปูนรวมกันเป็นกองอยู่ทั่วทุกที่ เจ้าชายรีสทรงส่ายพระเศียร ดินแดนแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์มากมาย แต่ตอนนี้มันถูกทำลายล้างไปแล้วจากสงครามที่เกิดขึ้น

ตั้งแต่พระองค์ขึ้นมาจากหุบเขาใหญ่เจ้าชายรีสและคนอื่นๆได้มุ่งมั่นที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อกลับไปยังด้านของแม็คกิลในอาณาจักรวงแหวน เมื่อพวกเขาไม่สามารถจะหาม้าเป็นพาหนะได้ พวกเขาจึงต้องเดินผ่านไปทางด้านของแม็คคลาวด์ขึ้นไปยังเมืองไฮแลนด์และลงมายังอีกด้าน ในตอนนี้และในที่สุด พวกเขาก็เดินทางผ่านเข้ามาในดินแดนของแม็คกิล ผ่านเข้ามาเห็นซากปรักหักพังและความพังพินาศ จากลักษณะภายนอกของดินแดนนี้แล้ว เห็นได้ว่าพวกมังกรได้เข้ามาช่วยจัดการทำลายกองทัพของจักรวรรดิ สำหรับเรื่องนั้นแล้ว เจ้าชายรีสทรงรู้สึกสำนึกในบุญคุณ แต่เจ้าชายรีสทรงไม่ทราบว่าพระองค์จะตามหาประชาชนของพระองค์ได้ในสภาพแบบไหน หรือว่าผู้คนทุกคนในอาณาจักรวงแหวนต่างล้มตายกันไปหมดแล้ว? จากที่ผ่านมา มันดูเหมือนว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าชายรีสทรงปรารถนาที่จะเสาะหาว่า พวกเขาทุกคนยังคงสบายดีอยู่หรือไม่

ในแต่ละครั้งที่พวกเขามาถึงสมรภูมิที่เต็มไปด้วยพวกที่ล้มตายและบาดเจ็บ อิลเลพร่าและเซลีสตรวจสอบดูศพบางพวกที่ไม่ได้ถูกเผาจากเปลวไฟของมังกร พวกนางเดินไปตรวจจากซากหนึ่งไปอีกซากหนึ่งและพลิกศพขึ้นมา นี่มิใช่เป็นเพราะการกระทำตามวิชาชีพของพวกนางเท่านั้น แต่อิลเลพร่ามีจุดมุ่งหมายอื่นอยู่ในใจ นั่นคือ เพื่อตามหาน้องชายของเจ้าชายรีส คือเจ้าชายก็อดฟรีย์ มันเป็นจุดมุ่งหมายที่นางมีร่วมกันกับเจ้าชายรีส

"พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่" อิลเลพร่าป่าวประกาศขึ้นอีกครั้ง ขณะที่นางยืนอยู่และกำลังพลิกศพสุดท้ายที่อยู่ในสนามรบอันนี้ขึ้นมา โดยใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง

เจ้าชายรีสทรงดูออกว่าอิลเลพร่าเป็นห่วงพระอนุชาของพระองค์มากเพียงไหนและพระองค์รู้สึกซาบซึ้งในพระทัยเจ้าชายรีสเองก็เช่นกัน พระองค์ทรงหวังว่าพระอนุชาจะสบายดีและเป็นหนึ่งในพวกที่รอดชีวิต แต่จากการเสาะหาจากซากศพจำนวนหลายพันคนนี้ พระองค์ทรงมีความรู้สึกลึกๆข้างในว่าเขาอาจจะไม่รอด

พวกเขามุ่งหน้าต่อไป ออกเดินทางไปยังสนามรบ ผ่านไปตามเนินเขาที่เรียงราย ขณะที่พวกเขาเดินทางอยู่นั้น พวกเขาก็มองเห็นสมรภูมิอีกจุดหนึ่งยังปลายเส้นขอบฟ้า ตรงนั้นมีซากศพหลายพันร่างและนอนเกลื่อนกราดอยู่ พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น

ขณะที่พวกเขาเดินไป อิลเลพร่าก็ร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ เซลีส จึงวางมือของนางลงที่ข้อมือของเพื่อน

"พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่" เซลีสพูดให้กำลังใจ "อย่ากังวลไปเลย"

เจ้าชายรีสทรงก้าวเข้ามาแล้ววางพระหัตถ์ลงบนไหล่ของนางเพื่อให้กำลังใจและทรงรู้สึกเห็นอกเห็นใจในตัวนาง

"ถ้ามันจะมีบางอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับน้องชายของข้า แล้วละก็" เจ้าชายรีสตรัส "เขาเป็นคนที่เอาตัวรอด เขาหาทางออกได้กับทุกเรื่อง แม้แต่ความตาย ข้าให้สัญญากับเจ้า เจ้าชายก็อดฟรีย์น่าจะอยู่ในโรงเหล้าที่ไหนสักแห่ง แล้วก็กำลังเมาอยู่"

อิลเลพร่าหัวเราะทั้งน้ำตาแล้วจึงเช็ดมันออกไป

"ข้าก็หวังเช่นนั้น" นางกล่าว "มันเป็นครั้งแรกที่ข้าคาดหวังเช่นนั้นจริงๆ"

พวกเขายังคงเดินทางต่อไปอย่างเศร้าซึมและเงียบงัน ผ่านไปยังดินแดนที่รกร้างว่างเปล่า แต่ละคนต่างหลุดเข้าไปในห้วงความคิดของตนเอง ภาพของหุบเขาใหญ่ยังคงติดตราตรึงอยู่ในพระทัยของเจ้าชายรีส พระองค์ไม่สามารถจะห้ามปรามมันได้ พระองค์ทรงคิดไปถึง สถานการณ์อันสิ้นหวังที่พระองค์ทรงผ่านมา แล้วทรงรู้สึกตื่นตันซาบซึ้งกับเซลีสที่หากนางไม่ปรากฏตัวขึ้นแล้วนั้น พระองค์ก็จะยังคงติดอยู่ข้างล่างนั่นและก็น่าจะจบชีวิตไปแล้วเป็นแน่แท้

เจ้าชายรีสทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปจับกับมือของเซลีส และทรงแย้มสรวลเมื่อพวกเขาทั้งสองคนจับมือและเดินไปด้วยกัน เจ้าชายรีสทรงรู้สึกประทับใจกับความรักและความทุ่มเทที่นางมีให้กับพระองค์ ความเต็มอกเต็มใจที่ข้ามทั้งดินแดนมา เพื่อช่วยชีวิตพระองค์ พระองค์ทรงท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าของความรักที่มีต่อนาง พระองค์ทรงแทบจะอดพระทัยไม่ไหวเพื่อรอคอยช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้อยู่กันตามลำพังและได้บอกความรู้สึกนี้กับนาง  พระองค์ทรงตัดสินใจแล้วว่าทรงปราถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่กับนางไปตลอดกาล พระองค์ทรงรู้สึกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อนางซึ่งไม่เหมือนกับที่พระองค์เคยรู้สึกกับผู้ใดมาก่อน และเมื่อใดก็ตามที่เวลานั้นมาถึง พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะขอนางแต่งงาน พระองค์จะประทานแหวนของพระมารดา ซึ่งพระมารดาพระราชทานให้กับพระองค์เพื่อมอบให้กับยอดรักแห่งชีวิตเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงหานางพบ

"ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าข้ามทั้งอาณาจักรวงแหวนมาเพื่อข้า" เจ้าชายรีสตรัสกับนาง

นางยิ้ม

"มันไม่ได้ไกลเท่าไหร่" นางตอบ

"ไม่ไกล งั้นหรือ?" พระองค์ตรัสถาม "เจ้าเสี่ยงชีวิตเสี่ยงอันตรายข้ามผ่านดินแดนทั้งที่มีสงคราม ทั้งดินแดนที่เสียหายมา ข้าเป็นหนี้เจ้าเกินกว่าที่ข้าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้"

"พระองค์ทรงไม่ได้เป็นหนี้อะไรข้าเลย ข้าแค่มีความสุขที่เห็นว่าพระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่"

"พวกเราทุกคนเป็นหนี้เจ้า" เอลเด้นพูดแทรกเข้ามา "เจ้าช่วยชีวิตพวกเราทุกคนไว้ พวกเราทุกคนคงจะติดอยู่ข้างหลังนั้นด้านหลังของหุบเขาใหญ่ไปชั่วกาล"

"พูดถึงเรื่องการเป็นหนี้แล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะต้องปรึกษาท่าน" คร็อกกล่าวกับเจ้าชายรีส เขาเดินกระโผลกกระเผลกขึ้นมาเคียงข้างกับพระองค์ ตั้งแต่อิลเลพร่าได้เข้าเฝือกที่ขาของเขาตั้งแต่บนยอดของหุบเขาใหญ่ คร็อกอย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง

"พระองค์ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ตอนที่อยู่ข้างล่างนั่น ซึ่งมันมากกว่าหนึ่งครั้ง" คร็อกยังกล่าวต่อไป "มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่โง่เง่าสำหรับพระองค์ หากตรัสถามในมุมมองข้าแต่พระองค์ก็จะทรงทำมันอยู่ดี ข้าไม่คิดว่าข้าจะเป็นหนี้พระองค์แล้วกระมัง"

เจ้าชายรีสส่ายพระเศียร ทรงจับได้จากเสียงอันแหบห้าวและความพยายามที่จะขอบคุณพระองค์อย่างอ้อมๆ

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดประชดประชันข้าหรือว่ากำลังขอบคุณข้าอยู่” เจ้าชายรีสตรัส

“ข้ามีวิถีของข้า” คร็อกกล่าว “ข้ากำลังจะเฝ้าระวังหลังให้พระองค์ นับต่อแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ใช่เพราะว่าข้าชอบในตัวพระองค์ แต่นั่นเป็นเพราะทำตามความรู้สึก ทำตามคำเรียกร้องของตัวข้าเอง”

เจ้าชายรีสทรงส่ายพระเศียร ทรงรู้สึกงุนงงจากคำพูดของคร็อก ซึ่งมันเป็นเช่นนี้อยู่เสมอๆ

“อย่ากังวลไปเลย” เจ้าชายรีสตรัส “ข้าก็ไม่ชอบเจ้าเช่นกัน”

พวกเขาทุกคนยังคงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป ทุกคนต่างรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกมีความสุขที่ยังคงมีชีวิตอยู่ มันรู้สึกดีที่ได้มาอยู่เหนือพื้นดิน เพื่ออยู่อีกด้านหนึ่งของอาณาจักรวงแหวน ทุกคน ยกเว้นคอนเว่นไปที่เดินไปอย่างเงียบงันและแยกตัวออกไปจากคนอื่นๆ เขาเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับตัวเองนับตั้งแต่การตายของฝาแฝดของเขาในอาณาจักรจักรวรรดิ ไม่มีสิ่งใดแม้แต่การรอดพ้นจากความตายจะทำให้เขาลืมเลือนนั้นออกจากใจ

เจ้าชายรีสทรงนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้านล่างของหุบเขาใหญ่ ตอนที่คอนเว่นพาตัวเองเข้าสู่อันตรายอย่างวู่วาม กับช่วงเวลาที่เขาเกือบจะฆ่าตัวเองจากการเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่น พระองค์ทรงเป็นห่วงเขา เจ้าชายรีสทรงไม่ต้องการเห็นเขาแปลกแยกจากคนอื่นและหลุดเข้าไปอยู่กับอาการซึมเศร้า

เจ้าชายรีสทรงเดินเข้ามาอยู่เคียงข้างกับเขา

“เจ้าต่อสู้อย่างกล้าหาญที่ด้านล่างนั่น” เจ้าชายรีสตรัสกับเขา

คอนเว่นยักไหล่ขึ้นและมองลงไปยังพื้นดิน

เจ้าชายรีสทรงพยายามสั่งสมองพระองค์ให้หาเรื่องราวอะไรขึ้นมา ในขณะที่พวกเขาเดินไปในความเงียบ

“เจ้ามีความสุขไหมที่จะได้กลับบ้าน?” เจ้าชายรีสตรัสถาม “เพื่อเป็นอิสระ?”

คอนเว่นหันไปและจ้องมองพระองค์ด้วยใบหน้าที่เฉยเมย

“ข้าไม่ได้กลับบ้าน ข้าไม่ได้มีอิสระ น้องชายของข้าตายไปแล้ว และข้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากเขา”

เจ้าชายรีสทรงรู้สึกเย็นวาบไปกับคำพูดของเขา เห็นได้ชัดว่าคอนเว่นยังคงเต็มตื้นไปด้วยความเศร้าโศก เขาเก็บมันไว้อย่างกับเป็นตราประทับแห่งเกียรติยศ คอนเว่นดูเหมือนจะเป็นคนตายที่เดินได้ ดวงตาของเขาว่างเปล่า เจ้าชายรีสระลึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ เจ้าชายรีสทรงเห็นว่าความเศร้าโสกเขาเขาช่างลึกล้ำ เขาจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกที่อาจจะไม่มีทางที่จะฉุดดึงเขาขึ้นมาได้ เจ้าชายรีสทรงสงสัยว่าสิ่งใดกันที่หลอมรอมกันในตัวของคอนเว่น มันเป็นครั้งแรกที่พระองค์มิได้นึกถึงสิ่งอื่นใด

พวกเขาเดินทางไปเรื่อยๆ หลายชั่วโมงผ่านไป พวกเขาก็มาถึงยังอีกสมรภูมิหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านไหล่ชนไหล่ไปกับพวกซากศพ อิลเลพร่าและเซลีสและคนอื่นๆ เริ่มกระจัดกระจายกันไปตามศพต่างๆ พลิกมันขึ้นมาดูและมองหาร่องรอยของเจ้าชายก็อดฟรีย์

“ข้าเห็นว่ามีทหารของแม็คกิลมากกว่าในสนามรบนี้” อิลเลพร่ากล่าวออกมาอย่างมีความหวัง “และก็ไม่มีไฟจากลมหายใจมังกร บางทีเจ้าชายก็อดฟรีย์อาจจะอยู่ที่นี่”

“เจ้าชายรีสทอดพระเนตรขึ้นไปเห็นซากศพหลายพันซากและทรงสงสัยว่า ถึงแม้ว่าพระอนุชาจะอยู่ที่นี่ พวกเขาจะมีวันหาพระองค์ได้พบหรือไม่

เจ้าชายรีสทรงกระจายตัวออกมาและทรงเดินไปจากซากหนึ่งไปสู่อีกซากหนึ่ง คนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาพากันพลิกศพดู พระองค์ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าประชาชนของพระองค์ แต่ละใบหน้าๆ มีบางคนที่พระองค์ทรงจดจำได้ แต่บางคนก็ทรงจำไม่ได้  ประชาชนที่พระองค์เคยรู้จักและต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันเพื่อพระบิดา เจ้าชายรีสสทรงตกตะลึงไปกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดของพระองค์ มันเหมือนกับมีโรคระบาดและพระองค์ก็ทรงหวังว่ามันจะผ่านไปในที่สุด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นการสู้รบ สงครามและซากศพมาชัวชีวิต พระองค์ทรงพร้อมแล้วที่จะตั้งหลักกับชีวิตที่มีความผาสุก เพื่อสมานแผลและเสริมสร้างอะไรๆ ขึ้นมาอีกครั้ง

“ตรงนี้!” อินดราตะโกนขึ้น เสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางยืนอยู่ที่ร่างๆ หนึ่งและจ้องมองลงไป

อิลเลพร่าหันไปดูและววิ่งเข้าไปหา จากนั้นทุกคนก็ต่างเข้ามารวมตัวกันรอบๆ นางคุกเข่าอยู่ตรงข้างร่างนั้นและมีน้ำตาอาบท่วมใบหน้า เจ้าชายรีสทรงคุกเข่าดูข้างๆ นางและทรงอ้าพระโอษฎ์เมื่อเห็นพระอนุชา

เจ้าชายก็อดฟรีย์

พระอุธรของพระองค์โผล่ออกมา พระเนตรปิดสนิท พระองค์ดูซีดมาก พระหัตถ์เป็นสีฟ้าด้วยความเย็นยะเยือก พระองค์ดูเหมือนจะไร้ชีวิต

อิลเลพร่าชะโงกตัวเข้าไปสั่นพระองค์ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แต่พระองค์ก็ไม่ตอบสนอง

“เจ้าชายก็อดฟรีย์! ได้โปรดเถิด! ตื่นเถิด! นี่ข้าเอง! อิลเลพร่า! เจ้าชายก็อดฟรีย์ย์!“

นางเขย่าพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พระองค์ก้ยังมิทรงตื่นขึ้นมา ในที่สุด นางหันไปหาคนอื่นๆ อย่างบ้าคลั่ง นางมองไปยังสายเข็มขัด

“ถุงไวน์ของท่าน!” นางออกคำสั่งกับโอคอนเนอร์

โอคอนเนอร์จับเข้าที่เอวของเขาอย่างงุ่มง่ามและรีบเอามันออกมาอย่างเร็ว ก่อนที่จะส่งมันให้กับอิลเลพร่า

นางรับมันไปและถือไว้เหนือพระพักตร์ของเจ้าชายก็อดฟรีย์ จากนั้นจึงเทลงไปในพระโอษฐ์ นางยกพระเศียรขึ้นมาและเปิดพระโอษฐ์ออกและเทมันลงไปยังพระชิวหา

จากนั้น มีการตอบสนองขึ้นอย่างทันทีทันใด เมื่อเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเลียเข้าที่พระโอษฐ์และทรงกลืนเครื่องดื่มนั่น

พระองค์ทรงกระแอม จากนั้นจึงทรงลุกขึ้นนั่งและทรงคว้าเอาถุงไวน์ไปทั้งๆที่พระเนตรปิดอยู่และดื่มมันเข้าไป ทรงดื่มเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง พระองค์ทรงนั่งตัวตรงขึ้นมาพระองค์ค่อยๆ เปิดพระเนตรออกและเช็ดพระโอษฐ์ด้วยด้านหลังของพระหัตถ์ พระองค์ทอดพระเนตรไปรอบๆ อย่างสับสน อย่างไร้ทิศทางและทรงเรอออกมา

อิลเลพร่าร้องออกมาด้วยความปิตินางเอนตัวเข้าไปแลเข้าไปสวมกอดพระองค์

"ท่านยังมีชีวิตอยู่!" นางร้องอุทานเสียงดัง

เจ้าชายรีสทรงถอนหายใจด้วยความปลดเปลื้อง ในขณะที่พระอนุชาทอดพระเนตรไปรอบๆ อย่างสับสน พระองค์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

เอลเด้นละเซอร์น่าเข้ามาพยุงเจ้าชายก็อดฟรีย์เข้าที่บริเวณบ่าและยกพระองค์ขึ้นมาให้ยืนอยู่บนพระบาททั้งสอง เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยืนอย่างโอนเอนในตอนแรก จากนั้นพระองค์ทรงดื่มเครื่องดื่มจากถุงไวน์ และทรงใช้ด้านหลังของพระหัตถ์เช็ดเข้ากับพระโอษฐ์

เจ้าชายก็อดฟรีย์สอดพระเนตรไปรอบๆ ด้วยสายพระเนตรที่พร่ามัวและเหนื่อยล้า

“เขาอยู่ที่ไหน?” พระองค์ตรัสถาม ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นนวดคลึงพระเศียรซึ่งถูกเฆี่ยนอย่างแรง พระองค์ทรงหรี่พระเนตรด้วยความเจ็บปวด

อิลเลพร่าเฝ้าดูบาดแผลอย่างผู้ชำนาญ นางใช้มือจับไปตรงนั้นและพบว่ามีรอยเลือดที่แห้งติดอยู่ที่พระเกศา

"พระองค์มีบาดแผล" นางกล่าว " แต่พระองค์ควรจะภูมิใจว่า ยังคงมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดีแล้ว"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเดินโซเซ จนคนอื่นๆเขามาจากพระองค์ไว้

"อาการไม่สาหัส" นางกล่าวขณะกำลังตรวจดูอาการ "แต่พระองค์ต้องการเวลาพักผ่อน"

นางเอาผ้าพันแผลออกมาจากบั้นเอวและเริ่มพันมันรอบพระเศียรซ้ำไปซ้ำมา เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงสะดุ้งและทอดพระเนตรมายังนาง จากนั้นพระองค์จึงทอดพระเนตรและพิจารณาไปยังซากศพทั้งหมด ดวงพระเนตรถึงกับเบิกกว้าง

"ข้ารอดชีวิต" พระองค์ตรัส "ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย"

"เจ้าทำสำเร็จ" เจ้าชายรีสตรัส พร้อมกับใช้พระหัตถ์ตบลงที่พระอังศาของพระอนุชาอย่างมีความสุข "ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องรอด"

อิลเลพร่าเข้ามาสวมกอดพระองค์ กอดรัดพระองค์ไว้ และพระองค์ก็กอดนางกลับมาอย่างช้าๆ

การเป็นฮีโร่ มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง" เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงสังเกตุ จากนั้นคนอื่นๆก็พากันหัวเราะ "เอาเครื่องดื่มแบบนี้มาให้ข้าอีก" พระองค์ตรัสขึ้น "บางที ข้าจะทำมันบ่อยขึ้นกว่าเดิม"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงดื่มเข้าไปอึกใหญ่ จนในที่สุด พระองค์ก็ทรงเริ่มเดินไปกับพวกเขา โดยเอนตัวไปทางอิลเลพร่า พระองค์ทรงโอบไหล่ของนางเพื่อช่วยทรงตัวของพระองค์

"แล้วคนอื่นๆ อยู่ที่ไหนหรือ?" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสถามเมื่อทรงเดินไป

"พวกเราไม่รู้" เจ้าชายรีสตรัส "สักแห่งหนึ่งในด้านตะวันตก ข้าหวังไว้เช่นนั้น นั่นคือที่ที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไป เราเดินทางไปยังราชสำนักเพื่อดูว่าใครอาศัยอยู่ที่นั่น"

เจ้าชายรีสทรงดื่มอีกอึกโตในขณะที่พระองค์พยายามแปลงเสียงเป็นคำพูดพระองค์ทอดพระเนตรออกไปยังขอบฟ้าและภาวนาให้ ประชาชนของพระองค์ได้มีชะตากรรมเหมือนกับเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระองค์คิดถึงธอร์และ พระเชษฐภคินี ราชินีเกว็นโดลีนและพระเชษฐา เจ้าชายเคนดริคและอีกหลายๆ คนที่พระองค์ทรงรัก แต่พระองค์ทรงทราบว่ากองกำลังทหารจักรวรรดิขนาดใหญ่ยังคงอยู่เบื้องหน้า และจากการ ที่พระองค์ทอดพระเนตร พิจารณาจำนวนผู้ที่ล้มตายและบาดเจ็บ พระองค์ทรงมีความรู้สึกลึกๆ ว่าสิ่งที่แย่ที่สุดคงยังมาไม่ถึง

นภาแห่งเวทมนตร์ หนังสือเล่มที่ 9 ในชุดวงแหวนของผู้วิเศษ

Подняться наверх