Читать книгу คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 12

บทที่ สอง

Оглавление

อีเร็คยืนอยู่บนยอดเนินที่ชายป่า มองดูกองพลย่อม ๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา ใจเขาร้อนรุ่มราวกับไฟ เขาเกิดมาเพื่อวันเวลาเช่นนี้ ในการสู้รบบางครั้งก็มีเส้นแบ่งที่ไม่ชัดเจนระหว่างความยุติธรรมและอยุติธรรม แต่ไม่ใช่วันนี้ ลอร์ดแห่งบาลัสเตอร์ขโมยเจ้าสาวของเขาไปอย่างหน้าด้าน ๆ อีกทั้งยังวางโตและไม่สำนึก อีเร็คได้บอกให้เขารู้ถึงความผิดของตัวเอง ให้โอกาสเขาได้แก้ตัว แต่เขาปฏิเสธที่จะแก้ไขความผิด เขาเป็นผู้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตัวเอง ลูกน้องของเขาก็ควรจะปล่อยวางเสีย โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว

แต่พวกเขาหลายร้อยคนกลับกำลังขี่ม้ามา เพื่อตอบแทนค่าจ้างให้แก่ลอร์ดผู้ไม่คู่ควรคนนี้ ทุกคนต่างต้องการสังหารอีเร็คเพียงเพราะชายคนนั้นเป็นนายจ้างของพวกเขา ทุกคนสวมชุดเกราะสีเขียวเป็นประกายมุ่งตรงมา และเมื่อเข้ามาใกล้ก็ส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญ ราวกับว่ามันอาจจะทำให้อีเร็คกลัวได้

อีเร็คไม่ได้หวาดกลัว เขาผ่านศึกเช่นนี้มามากมายนัก หากเขาจะได้เรียนรู้อะไรจากการฝึกฝนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็คืออย่าเกรงกลัวเมื่อต้องต่อสู้อยู่ในฝั่งความยุติธรรม เขาถูกสอนมาว่าความยุติธรรมอาจจะไม่ชนะเสมอไป แต่มันจะทำให้ผู้ที่ยึดถือความยุติธรรมมีกำลังเท่ากับคนสิบคน

อีเร็คไม่ได้รู้สึกกลัวเมื่อเห็นกองพลนับร้อยเคลื่อนใกล้เข้ามา และรู้ว่าเขาอาจจะตายในวันนี้ มันเป็นความคาดหวัง เขาได้รับโอกาสให้พบความตายอย่างสมเกียรติที่สุด และนั่นคือของขวัญ เขาได้ทำการปฏิญาณแห่งเกียรติยศแล้ว และในวันนี้คำปฏิญาณของเขาก็เรียกร้องที่จะแสดงผลของมัน

อีเร็คชักดาบออกมาและวิ่งลงเนินไป พุ่งเข้าใส่กองพลที่กำลังมุ่งหน้ามาหาเขา ในเวลาเช่นนี้อีเร็คอยากได้วาร์คฟิน ม้าคู่ใจยิ่งกว่าสิ่งใด อยากขี่มันตะลุยเข้าต่อสู้ แต่เขาก็สบายใจที่รู้ว่ามันกำลังพาอลิสแตร์กลับไปยังซาวาเรีย กลับไปสู่ความปลอดภัยในราชสำนักของท่านดยุค

ขณะที่เขาใกล้เข้าไป ห่างเพียงสิบหลา อีเร็คก็เร่งฝีเท้าขึ้น พุ่งเข้าใส่อัศวินตัวหัวหน้าที่อยู่ตรงกลาง พวกมันไม่ได้ชะลอช้าลง เขาเองก็เช่นกัน อีเร็คเตรียมพร้อมรับการปะทะที่จะเกิดขึ้น

อีเร็ครู้ว่าเขาได้เปรียบอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนสามร้อยคนไม่สามารถเข้ามาใกล้พอที่จะโจมตีคน ๆ เดียวได้พร้อมกัน เขารู้ได้จากการฝึกฝนว่าทหารบนหลังม้าอย่างมากที่สุดหกคนจึงจะสามารถเข้าใกล้พอที่จะโจมตีชายคนหนึ่งได้พร้อมกัน อีเร็คมองว่าสถานการณ์ของเขาไม่ใช่สามร้อยต่อหนึ่ง แต่เป็นหกต่อหนึ่ง ตราบเท่าที่เขาสามารถสังหารหกคนตรงหน้าได้ตลอด เขาก็มีโอกาสชนะ อยู่ที่ว่าเขาจะทรหดพอที่จะผ่านมันไปได้หรือไม่

ขณะที่อีเร็คพุ่งลงเนินไป เขาหยิบอาวุธชิ้นหนึ่งซึ่งเขารู้ว่าเหมาะที่สุดออกมาจากข้างเอว กระบองที่มีโซ่ยาวยี่สิบหลา ปลายด้านหนึ่งมีลูกตุ้มหนาม เป็นอาวุธที่เหมาะจะใช้วางกับดักบนถนน หรือในสถานการณ์เช่นนี้

อีเร็ครอจนถึงจังหวะสุดท้าย จนกองทหารไม่ทันตอบโต้ จึงเหวี่ยงกระบองขึ้นเหนือศีรษะ และขว้างออกไปในสนามรบ เขาเล็งไปที่ต้นไม้เล็ก ๆ ต้นหนึ่ง โซ่หนามขึงขวางสนามรบ ขณะที่ลูกตุ้มหนามพันรอบต้นไม้ อีเร็คก็เริ่มลงมือและหมอบลงกับพื้น เพื่อหลบหอกที่กำลังจะถูกขว้างมาใส่เขา พลางยึดกระบองไว้แน่นด้วยกำลังทั้งหมด

เขากะเวลาได้เหมาะเหม็ง กองทหารไม่มีเวลาตอบโต้ พวกนั้นเห็นมันในวินาทีสุดท้ายและพยายามจะหยุดม้า แต่พวกนั้นมาเร็วเกินไปและไม่มีเวลาพอ

พวกแนวหน้าพุ่งเข้าใส่กับดัก โซ่หนามขึงขวางขาม้าทุกตัว ทำให้คนขี่หน้าทิ่มกระแทกพื้น โดยมีม้าล้มทับซ้ำอีก หลายสิบคนล้มทับกันชุลมุน

อีเร็คไม่มีเวลาภูมิใจในผลงานความเสียหายที่เขาได้ทำ ทหารอีกชุดหันมาและพุ่งมาหาเขาพลางโห่ร้องข่มขวัญ อีเร็คม้วนตัวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า

ขณะที่อัศวินคนหัวหน้ายกหลาวขึ้น อีเร็คอาศัยข้อได้เปรียบที่มี เขาไม่มีม้าและไม่สามารถเผชิญหน้าที่ความสูงระดับเดียวกันได้ แต่เพราะเขาอยู่ต่ำ เขาจึงสามารถใช้พื้นดินเบื้องล่าง อีเร็คพุ่งลงไปที่พื้นทันที ม้วนตัวแล้วยกดาบขึ้นฟันขาม้าตัวหนึ่ง มันสะดุด ทำให้ทหารที่ขี่หน้าทิ่มลงมาก่อนที่จะมีโอกาสปล่อยอาวุธ

อีเร็คยังกลิ้งต่อไป และสามารถหลบเท้าม้าที่กำลังตื่นตกใจรอบ ๆ ตัวเขาได้ พวกมันพยายามจะวิ่งหลบม้าที่ล้มอยู่ แต่หลายตัวทำไม่สำเร็จ สะดุดม้าที่นอนตาย ทำให้มีม้าล้มฟาดลงบนพื้นมากขึ้นหลายสิบตัว เกิดฝุ่นตลบฟุ้งและทำให้เกิดแนวกั้นกองทหารไว้

เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่อีเร็คหวังไว้ เกิดฝุ่นตลบและความชุลวุน มีม้าล้มลงบนพื้นเพิ่มอีกหลายสิบตัว

อีเร็คกระโดดลุกขึ้นยืน ยกดาบขึ้นรับดาบที่ฟาดใส่ศีรษะ เขาหมุนตัวและรับหลาว ก่อนที่จะกั้นทวนและขวานไว้ได้ เขาป้องกันอาวุธที่ฟาดฟันใส่เขาจากทุกด้าน แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือได้ตลอดไป เขาจะต้องเป็นฝ่ายโจมตีหากอยากจะมีโอกาส

อีเร็คม้วนตัวแล้วคุกเข่า เขาพุ่งดาบออกไปเหมือนกับหอก มันแหวกอากาศไปปักอกศัตรูคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ตามันเบิกโพลง เอียงตกจากหลังม้าลงไปนอนตาย

อีเร็คอาศัยจังหวะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าและกระชากกระบองมาจากมือของมันก่อนที่จะขาดใจตาย มันเป็นกระบองที่ดี อีเร็คเลือกทหารคนนี้ด้วยเหตุนี้ กระบองเงินด้ามยาวมีโซ่ยาวสี่ฟุตและลูกตุ้มหนามสามลูก เขาเหวี่ยงมันขึ้นเหนือหัวแล้วฟาดอาวุธหลุดจากมือศัตรูอีกหลายคนพร้อมกัน จากนั้นจึงฟาดอีกครั้งส่งศัตรูหล่นจากหลังม้า

อีเร็คมองสำรวจสนามรบและเห็นว่าเขาได้สร้างความเสียหายไปมากทีเดียว อัศวินเกือบร้อยคนล้มไปแล้ว แต่ที่เหลืออีกอย่างน้อยสองร้อยคนกำลังรวมกลุ่มกันและพุ่งมาหาเขาแล้วในตอนนี้ด้วยความมุ่งมาด

อีเร็คขี่ม้าเข้าหา คนเดียววิ่งเข้าใส่ศัตรูสองร้อยคน เขาส่งเสียงร้องข่มขวัญ ชูกระบองขึ้นสูงยิ่งขึ้น และภาวนาต่อพระเจ้าขอให้เขาไม่หมดแรง

*

อลิสแตร์ร้องไห้ขณะที่เกาะวาร์คฟินไว้แน่นสุดกำลัง มันควบตะบึงพานางไปตามถนนเส้นที่คุ้นเคยดีมากเหลือเกิน กลับไปยังซาวาเรีย นางกรีดร้องและเตะมันไปตลอดทาง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มันหันหลังกลับไปหาอีเร็ค แต่มันไม่ยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ไม่เคยพบม้าเช่นนี้มาก่อน มันเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างไม่ลังเลและจะไม่เปลี่ยนใจ เห็นได้ชัดว่ามันจะพานางไปยังสถานที่ที่อีเร็คสั่งเท่านั้น ในที่สุดนางก็ยอมรับความจริงว่าไม่สามารถทำอะไรได้

อลิสแตร์มีความรู้สึกผสมปนเปกัน ขณะที่นางขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าไป เมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่นานในฐานะสาวใช้รับจ้าง ในมุมหนึ่งมันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คิดถึงเจ้าของโรงแรมผู้กดขี่ข่มเหงนาง คิดถึงเรื่องเลวร้ายทุกอย่างของที่นี่ นางหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไป ได้ออกไปจากเมืองนี้กับอีเร็ค และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเขา ขณะที่นางปลอดภัยอยู่ภายในกำแพงเมืองนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกกังวลถึงอีเร็คที่อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับทั้งกองทัพ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้นางไม่สบายใจ

เมื่ออลิสแตร์ตระหนักว่าวาร์คฟินจะไม่หันหลังกลับ นางรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่นางจะทำได้ต่อไปคือหาทางช่วยอีเร็ค เขาขอให้นางอยู่ที่นี่ ภายในกำแพงเมืองที่ปลอดภัย แต่นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำ ถึงอย่างไรนางก็เป็นธิดาของราชา และนางไม่ใช่คนที่จะวิ่งหนีจากความกลัวหรือการเผชิญหน้า อีเร็คได้พบคู่ครองที่เหมาะสมในตัวนาง นางเองก็มีชาติตระกูลและมีความแน่วแน่เช่นเดียวกับเขา และนางคงไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อีกหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างนอกนั่น

อลิสแตร์รู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี นางบังคับวาร์คฟินไปที่ปราสาทของท่านดยุค ขณะนี้เมื่อทั้งสองได้เข้ามาอยู่ในกำแพงเมืองแล้ว วาร์คฟินจึงยอมเชื่อฟัง อลิสแตร์ขี่มันไปที่ทางเข้าปราสาท แล้วลงจากหลังม้า แล้ววิ่งผ่านมหาดเล็กที่พยายามจะห้ามนาง นางผลักอาวุธของพวกเขาแล้ววิ่งเร็วจี๋ไปตามทางเดินหินอ่อนที่นางคุ้นเคยดีสมัยเป็นสาวใช้

อลิสแตร์ใช้ไหล่ดันประตูบานใหญ่ของท้องพระโรง กระแทกมันให้เปิดออก แล้วถลันเข้าไปในท้องพระโรงส่วนตัวของท่านดยุค

สมาชิกสภาหลายคนหันมามองดูนาง ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมเต็มยศ มีท่านดยุคนั่งอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยอัศวินหลายคน พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางเข้าไปขัดจังหวะการประชุมสำคัญบางอย่าง

“เจ้าเป็นใครกัน แม่หญิง?” คนหนึ่งตะโกนถามขึ้น

“ใครกันที่กล้าเข้ามาขัดจังหวะการว่าราชการของท่านดยุค?” อีกคนตะโกนบ้าง

“ข้ารู้จักนาง” ท่านดยุคบอก พลางลุกขึ้นยืน

“ข้าด้วย” แบรนด์ทเอ่ย อลิสแตร์จำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนของอีเร็ค “เจ้าคืออลิสแตร์ ใช่ไหม?” เขาถาม “เจ้าสาวหมาด ๆ ของอีเร็คใช่ไหม?”

นางวิ่งไปหาเขา น้ำตานอง แล้วคว้ามือเขาไว้

“ได้โปรด ใต้เท้า ช่วยข้าด้วย อีเร็ค!”

“เกิดอะไรขึ้น?” ท่านดยุคถามด้วยความตกใจ

“เขากำลังอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพของศัตรูเพียงลำพัง เขาไม่ยอมให้ข้าอยู่ด้วย ได้โปรด! เขาต้องการความช่วยเหลือ!”

อัศวินทุกคนต่างผุดลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่ได้เอ่ยสักคำ แล้วต่างวิ่งกรูกันออกไปจากท้องพระโรง โดยไม่มีผู้ใดลังเลเลย อลิสแตร์หันหลังแล้ววิ่งตามพวกเขาไป

“อยู่ที่นี่!” แบรนด์ทสั่ง

“ไม่มีทาง!” นางบอก พลางวิ่งตามหลังเขาไป “ข้าจะพาท่านไปหาเขา!”

พวกเขาวิ่งไปตามทางเดิน ออกจากปราสาทและตรงไปหาม้าฝูงใหญ่ที่กำลังรออยู่ แล้วต่างขึ้นม้าของตัวเองโดยไม่ลังเลเลย อลิสแตร์กระโดดขึ้นหลังวาร์คฟิน แล้วเตะมัน ให้นำคณะไป ด้วยความกระวนกระวายเช่นเดียวกับคนอื่น

ขณะที่ทุกคนควบผ่านเขตปราสาทของท่านดยุค ทหารที่อยู่โดยรอบเริ่มขึ้นหลังม้าและร่วมขบวนไปด้วย เมื่อทุกคนผ่านประตูเมืองซาวาเรียออกไป ก็เป็นกองกำลังที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ มีอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน โดยมีอลิสแตร์ขี่ม้านำด้านหน้า ขนาบข้างด้วยแบรนด์ทและท่านดยุค

“หากอีเร็ครู้ว่าเจ้ามากับพวกเราด้วย ข้าหัวขาดแน่” แบรนด์ทบอก ขณะที่ขี่ม้าไปข้างนาง “ได้โปรด บอกเรามาว่าเขาอยู่ที่ไหนก็พอ แม่หญิง”

แต่อลิสแตร์ส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง กลั้นน้ำตาขณะที่ควบไปเร็วขึ้น ท่ามกลางเสียงอึกทึกจากเหล่าทหารรอบตัวนาง

“ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะทอดทิ้งอีเร็ค!”

คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี

Подняться наверх