Читать книгу ธรรมเนียมแห่งดาบ - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 14

บทที่ สาม

Оглавление

เจ้าชายเคนดริคทรงอาชาอยู่เบื้องหน้ากองทัพแม็คกิลอันยิ่งใหญ่และทวีจำนวนขึ้นอย่างมากมาย โดยมีชาวเมืองซิเลเซียและเหล่าทหารจากชาวบ้าน จากอาณาจักรวงแหวน ที่ได้รับปลดปล่อยให้เป็นไท พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าประตูหลักของเมืองซิเลเซียและออกเดินไปตามถนนอันกว้างใหญ่มุ่งหน้าไปทางตะวันออก เพื่อไปปะทะกับกองทัพของแอนโดรนิคัส ด้านข้างของเขามีสร็อก บรอม แอ็ทมีและเจ้าชายก็อดฟรีย์ ส่วนด้านหลังมีเจ้าชายรีส โอคอนเนอร์ คอนเว่น เอลเด็นและอินดรา อยู่ท่ามกลางนักรบหลายพันนาย พวกเขาได้ขี่ม้าผ่านซากศพนับพันๆ ของทหารแห่งกองทัพจักรวรรดิที่เนื้อตัวไหม้เกรียม ดูเป็นสีดำและแข็งทื่อจากเปลวไฟของมังกร ส่วนซากศพอื่นๆ ที่นอนตายเรียงรายนั้น มีรอยแผลจากดาบแห่งโชคชะตา ธอร์ได้ปลดปล่อยคลื่นแห่งการทำลายล้างนี้ จากการรบกับทั้งกองทัพลำพังเพียงคนเดียว เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรดูมันรอบๆ และรู้สึกเกรงขามไปกับวิถีการทำลายล้างของธอร์ และพลังอำนาจของไมโคเพิล รวมถึงกับดาบแห่งโชคชะตา

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาทั้งหมดถูกจับขังอยู่ในคุกภายใต้การกดขี่ของแอนโดรนิคัส ถูกบังคับให้ยอมรับกับความพ่ายแพ้ ธอร์ยังคงอยู่ในดินแดนจักรวรรดิ มีดาบแห่งโชคชะตาแต่อยู่ในความฝันที่ดับสูญ มันมีความหวังเพียงเล็กน้อยว่า พวกเขาจะกลับมา เจ้าชายเคนดริค และคนอื่นๆ ได้ถูกจับตรึงมัดกับไม้กางเขนและปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย และนั่นดูเหมือนกับว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้แล้ว

แต่ตอนนี้พวกเขาขี่ม้า เดินทางอย่างผู้มีอิสระเสรี ทั้งทหารและอัศวินรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง การมาของธอร์ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ตอนนี้ พวกเขาได้เปรียบ ไมโคเพิลเป็นสิ่งล้ำค่าจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ มันนำมาซึ่งการทำลายล้างที่ตกมาอย่างห่าฝนจากฟากฟ้า เมืองซิเลเซียในตอนนี้เป็นเมืองที่ถูกปลดปล่อยแล้วรวมไปถึงชนบท ด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน ณ ที่ตรงนั้นที่เคยเป็นที่ตั้งแห่งกองทัพนักรบจักรวรรดิ มาถึงตอนนี้ ถนนที่มุ่งหน้าสู่ตะวันออกนั้นได้กลายเป็นถนนแห่งซากศพของพวกมัน ที่เรียงรายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

แม้เจ้าชายเคนดริคจะทรงรู้สึกมีกำลังใจจากสิ่งที่เห็น แต่พระองค์ทรงรับรู้ว่า อีกฟากหนึ่งของที่ราบสูงไฮแลนด์นั้น ยังมีทหารของแอนโดรนิคัส ราวครึ่งล้านนาย ตั้งแถวเรียงรายรอต้อนรับพวกเขาอยู่ กองทัพของเขาโจมตีพวกมันได้เพียงชั่วคราว แต่มันก็ยากที่จะกวาดล้างพวกมันได้ทั้งหมด และเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ไม่ได้พอใจที่ จะคอยนั่งรอ ให้กองทัพของพวแอนโดรนิคัส ในเมืองซิเลเซียมารวมตัวและโจมตีเขาเข้าอีกครั้ง หรืออีกอย่าง เขาก็ไม่ต้องการจะให้พวกนั้นมีโอกาสหลบหนีและล่าถอยกลับไปยังจักรวรรดิของมัน ในเมื่อโล่พลังได้กลับขึ้นมาอีกครั้งและตอนนี้กองทัพของเจ้าชายเคนดริค ก็มีจำนวนมากกว่าอีกด้วย อย่างน้อยๆ พระองค์ก็มีโอกาสที่จะต่อสู้มากกว่าเดิม ในตอนนี้กองทัพของแอนโดรนิคัสกำลังกระเจิดกระเจิงและเจ้าชายเคนดริคกับพรรคพวกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าสานต่องานที่ธอร์เป็นผู้เริ่มต้นนี้ให้ไปสู่ชัยชนะ

เจ้าชายเคนดริคทรงชำเลืองพระอังสาของพระองค์ ทอดพระเนตรไปด้านหลังยังกองพลทหารหลายพันนาย เหล่าทหารที่มีเสรีภาพร่วมขี่ม้าร่วมทัพกับพระองค์ ทรงเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาทั้งหลายได้ลิ้มลองรสชาติของการเป็นทาส ได้ลิ้มรสของความปราชัย และตอนนี้พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นได้รู้สึกถึงคุณค่าของการเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง มันไม่ใช่การกระทำเพื่อตัวของพวกเขาเอง แต่เป็นการกระทำให้ภรรยาและครอบครัวของพวกเขาด้วย ทหารแต่ละนายและทุกๆนายรับรู้รสชาติแห่งความคมคืนถูกกระตุ้นให้กล้าหาญและพวกเขาจะทำให้พวกแอนโดรนิคัสต้องชดใช้และทำทุกวิธีทาง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่มาโจมตีเขาอีก นี่คือกองทัพของเหล่าทหารที่พร้อมจะสู้จนตัวตายและพวกเขาผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง ทุกที่ที่พวกเขาเดินทางผ่านไปจะมีการปลดปล่อยผู้คนให้เป็นไทมากขึ้น ปลดปล่อยพวกเขาจากพันธนาการและดึงดูดพวกเขาเข้ามาสู่กองทัพ ที่นับวันยิ่งเติบโตเพิ่มจำนวนทับทวี

ส่วนตัวเจ้าชายเคนดริคนั้น พระองค์ยังทรงค่อยๆฟื้นตัวจากการถูกจับตรึงกับไม้กางเขน พระวรกายของพระองค์ยังไม่ทรงแข็งแรงเหมือนดั่งที่เคย และมันยังคงมีความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้อพระกรและข้อพระบาทจากการที่ถูกมัดด้วยเชือกหยาบกร้านที่ฝังลงไปในพระฉวีของพระองค์ ส่ทรงหันไปทอดพระเนตรที่สร็อก บรอม และแอ็ทมีที่ถูกจับตรึงไว้เคียงข้างกัน พระองค์ทรงเห็นว่า พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนอย่างที่เคย การตรึงอยู่กับไม้กางเขนนั่นเป็นการ ทำร้ายพวกเขาอย่างสาหัส แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เดินทางขี่ม้าอย่างภาคภูมิและกล้าหาญ มันไม่มีอะไรเทียบเท่ากับการมีโอกาสได้ต่อสู้เพื่อชีวิต การมีโอกาสได้แก้แค้น และมันทำให้สามารถลืมความเจ็บปวดทั้งหลายไปได้

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกดีพระทัยที่พระอนุชาของพระองค์เจ้าชายรีสและกองทหารยุวชนได้กลับมาจากการฝึกฝน และได้ร่วมทางขี่ม้าร่วมทัพเคียงข้างกันอีกครั้ง พระองค์ทรงรู้สึกเหมือนถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ ที่ต้องเห็นพวกเขาถูกฆ่าฟันในเมืองซิเลเซีย การได้เห็นพวกเขาเหล่านั้นกลับมาบ้าน ถือเป็นการย้อนรำลึกถึงความอาลัยโศกศัลย์ของพระองค์ พระองค์และเจ้าชายรีสทรงมีความใกล้ชิดสนิทกัน พระองค์เติบโตขึ้นมาเพื่อปกป้องพระอนุชาและทำหน้าที่เสมือนเป็นพระบิดาองค์ที่สอง ในช่วงเวลาที่ราชาแมคกิลมีราชภาระมาก บางครั้งการเป็นพระเชษฐาที่ร่วมสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่งทำให้เจ้าชายเคนดริค สามารถใกล้ชิดกับเจ้าชายรีสได้มากขึ้น เพราะมันไม่มีอะไรมากีดขวางความสนิทสนมของพวกเขา มันเหมือนไม่มีทางเลือก เจ้าชายเคนดริค ไม่เคยใกล้ชิดกับพระอนุชาอีกสองพระองค์ เจ้าชายก็อดฟรีย์ที่ทรงชอบใช้เวลาส่วนใหญ่กับพรรคพวก ได้ทรงแยกพระองค์ไปในโรงเหล้า และเจ้าชายกาเร็ธก็ยังคงเป็นเจ้าชายกาเร็ธ เจ้าชายรีสเป็นเพียงหนึ่งในพี่น้องร่วมสายโลหิตที่ได้เข้าร่วมในสมรภูมิด้วยกันพระองค์เป็นพระอนุชา ที่เจ้าชายเคนดริคได้ทรงเลือกแล้วที่จะอุทิศชีวิตให้และพระองค์ทรงภาคภูมิพระทัยในตัวน้องชายเป็นล้นพ้น

ในอดีตเมื่อเจ้าชายเคนดริคทรงเสด็จประพาสเดินทางกับเจ้าชายรีส พระองค์ทรงคอยห่วงใยปกป้องทรงทอดสายพระเนตรดูแลน้องมิห่างแต่เมื่อทรงเห็นการกลับมาของพระอนุชาว่า ทรงดำรงตนเป็นนักรบอย่างแท้จริง นักรบที่เข้มแข็งแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องคอยระแวดระวังภัยให้พระอนุชาอีกต่อไป ทรงสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าชายรีสจะต้องประสบกับความยากลำบากตรากตรำเพียงใด เมื่อครั้งทรงอยู่ในอาณาจักรจักรวรรดิ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้พระอนุชาเข้มแข็งและมีความชำนิชำนาญในการรบ พระองค์ทรงคาดหวังที่จะนั่งคุยกับพระอนุชาและฟังเรื่องราวต่างๆของเขา

เจ้าชายแคนรู้สึกดีพระทัยที่ธอร์กลับมาด้วยไม่ใช่เพียงเพราะว่า ธอร์ได้ปลดปล่อยพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขามีความชอบและเคารพในตัวธอร์อย่างมากมายและเป็นห่วงเขาราวกับว่าเขาเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง เจ้าชายเคนดริคย้อนรำลึกถึงภาพของธอร์ ถึงการกลับมาของธอร์และการถือดาบนั่น พระองค์ไม่สามารถลบเลือนมันไปได้ มันเป็นภาพจินตนาการที่พระองค์ไม่เคยคาดคิดที่จะประจักษ์เลยในชีวิตนี้ จริงๆแล้ว พระองค์ไม่เคยคาดหวังว่าจะเห็นใครในโลกสามารถใช้ดาบแห่งโชคชะตาได้แบบนี้ ไม่น่าจะเป็นธอร์คนที่เคยเป็นเด็กรับใช้ ผู้ที่ตัวเล็กและมีความถ่อมตน เด็กจากหมู่บ้านที่ทำไร่นาที่อยู่ริมขอบด้านนอกของอาณาจักรวงแหวน เขาเป็นบุคคลภายนอก ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์แมคกิลเลย

ทำไมถึงเป็นเขา?

เจ้าชายเคนดริคทรงรู้สึกประหลาดพระทัย พระองค์ทรงมีความคิดวนเวียนเรื่องเกี่ยวกับตำนานที่ว่า สายเลือดแห่งราชวงศ์แมคกิลเท่านั้นที่สามารถยกดาบขึ้นได้ ลึกลงไปในพระหฤทัยแล้ว เจ้าชายเคนดริคต้องทำพระทัยยอมรับที่พระองค์ทรงหวังว่า พระองค์จะเป็นคนที่ยกดาบนั้นขึ้นเอง ทรงมีความหวังว่ามันจะเป็นตราประทับความชอบธรรมอันสูงสุดว่า พระองค์คือแม็คกิลที่แท้จริง เป็นพระราชาโอรสองค์โต พระองค์มีความฝันอย่างนั้นเสมอมา ว่าในวันหนึ่ง เหตุการณ์จะนำพาให้พระองค์ได้ลองยกมันขึ้น

แต่พระองค์ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย และก็ มิได้ทรงอิจฉาธอร์กับความสำเร็จของเขาเจ้าชายเคนดริค ไม่ได้มีความอยากได้ใคร่มี ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงพิศวงกับโชคชะตาของธอร์ พระองค์ไม่เข้าใจมันเลย หรือตำนานจะเป็นเรื่องไม่จริง? หรือว่าธอร์เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์แม็คกิล? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มิเช่นนั้น ธอร์ก็จะเป็นลูกชายของพระราชาแม็คกิลด้วย เจ้าชายเคนดริค ทรงสงสัยในข้อนี้ พระบิดาได้เคยหลับนอนกับผู้หญิงมากมายที่มิได้อภิเษกสมรสด้วย ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ตัวของเขากลายเป็นหนึ่งในราชวงศ์

หรือว่านั่นคือเหตุผลที่ธอร์รีบออกจากเมืองซิเลเซีย? หลังจากที่สนทนากับพระมารดาของเขา เขาคุยอะไรกันบ้าง? พระมารดาของเขาจะไม่ตรัสอะไร มันเป็นครั้งแรกที่นางเก็บความลับกับเขาและเก็บมันไว้จากพวกเขาทั้งหมดทำไม รอจนถึงตอนนี้ความลับอะไรที่พระนางเก็บงำเอาไว้ อะไรหรือที่พระนางตรัสออกมา จนทำให้ธอร์ต้องเร่งรุด ออกไปแบบนั้น ทิ้งพวกเขาไว้โดยไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ?

มันทำให้เจ้าชายเคนดริค นึกถึงพระบิดาของพระองค์ และเชื้อสายของราชวงศ์ ยิ่งพระองค์ปรารถนามันมากเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งเหมือนถูกแผดเผากับความคิดที่ว่า ตนเองเป็นลูกนอกกฎหมายและทรงสงสัยเป็นครั้งที่ล้านแล้วว่า ใครคือแม่ของพระองค์ที่แท้จริง พระองค์เคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับชีวิตของตน หรือพวกผู้หญิงที่พระบิดาพระราชาแม็คกิลเคยร่วมหลับนอนด้วย แต่พระองค์มิทรงทราบอย่างแน่ชัด เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเหมือนที่เคยเป็นมา เมื่ออาณาจักรวงแหวนกลับเข้าสู่ความปกติ เจ้าชายเคนดริค จะตัดสินใจที่จะตามหามารดาของพระองค์อย่างแน่นอน จะเข้าเผชิญหน้ากับเธอและตั้งคำถามเธอว่าทำไม เธอถึงปล่อยเขาไปทำไม เธอถึงไม่เคยมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา จะถามว่านางเจอพระบิดาได้อย่างไร พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะพบกับเธอเพื่อเห็นหน้าของเธอ เพื่อเห็นว่าเธอหน้าตาเหมือนพระองค์และอยากให้เธอบอกกับพระองค์ว่าจริงๆ แล้วพระองค์เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฏหมาย ถูกต้องเหมือนกับคนอื่นๆ

เจ้าชายเคนดริคทรงพอพระทัยที่ธอร์ได้ออกไปตามราชินีเกว็นกลับมา ถึงกระนั้น อีกห้วงแห่งความนึกคิด พระองค์ยังทรงหวังพระทัยว่าธอร์จะเลือกที่จะอยู่ เพื่อเข้าต่อสู้ร่วมกัน เพื่อมีกองกำลังที่เหนือกว่ากองทัพของแอนโดรนิคัสเรือนหมื่นนาย เจ้าชายเคนดริคทรงหวังว่าจะเห็นธอร์และไมโครเพิลในตอนนี้มากกว่าที่เคยเป็นมา

แต่เจ้าชายเคนดริคทรงประสูติและเจริญพระชนม์มาอย่างชาตินักรบ พระองค์ไม่เคยทรงรีรอ มัวรอคอยคนอื่นที่จะมาต่อสู้ในสมรภูมิเพื่อพระองค์ หากแต่พระองค์ทรงปล่อยให้สัญชาตญาณนำทาง ทรงม้านำออกมาและทรงเอาชนะพวกจักรวรรดิให้มากที่สุดเท่าที่พระองค์จะทำได้ พร้อมกับกองกำลังที่พระองค์ทรงมี แม้พระองค์จะไม่มีอาวุธพิเศษอย่างไมโคเพิลหรือดาบแห่งโชคชะตา แต่พระองค์ทรงมีสองพระหัตถ์เหมือนกับที่เคยมีมาจากครั้นเยาว์วัย และนั่นมันก็เพียงพอแล้ว

พวกเขาขึ้นไปบนเนินและเมื่อขึ้นไปถึงยอดของมัน เจ้าชายเคนทอดพระเนตรออกไปยังขอบฟ้าและทรงเห็นเมืองลูเซียซึ่งเป็นของแม็คกิลที่มีขนาดเล็ก มันเป็นเมืองแรกที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองซิเลเซีย ซากศพของพวกจักรวรรดิเรียงรายบนพื้นถนนแล้วเห็นได้ชัดว่าคลื่นแห่งการทำลายล้าง จบลงที่นี่ด้วยฝีมือของทงจากระยะไกลของขอบฟ้านั่น เจ้าชายเคนสามารถเห็นกองทหารของแอนโดรนิคัสล่าถอยออกไปทางตะวันออก พระองค์เชื่อว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้ากลับสู่ค่ายพักหลักของแอนโดรนิคัส เพื่อความปลอดภัยจากอีกฝั่งของที่ราบสูงไฮแลนด์ ส่วนหลักของกองทัพได้ล่าถอยลง แต่พวกเขาก็ยังทิ้งกองทหารเล็กๆ เอาไว้และยังสามารถมองเห็นประชาชนของที่นี่ที่ตกเป็นทาสของพวกทหาร

เจ้าชายเคนดริคทรงจดจำได้ว่าเกิดอะไรกับพวกเขาที่ในเมืองซิเลเซียได้ว่า พวกนั้นปฏิบัติค่อพวกเขาอย่างไร พระพักตร์ของพระองค์กลายเป็นสีแดงขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะแก้แค้น

"จู่โจม!" เจ้าชายเคนดริคทรงตะโกนร้อง

พระองค์ยกดาบขึ้นสูงและด้านหลังก็ตามมาด้วยเหล่าทหารหลายพันชีวิตที่กู่ร้องออกมาอย่างเข้มแข็ง

เจ้าชายเคนดริคทรงเตะม้าของพระองค์ และพวกเขาก็เร่งลงไปยังเนินเขาที่มุ่งหน้าสู่เมืองลูเซีย กองทัพทั้งสองได้เตรียมตัวเข้าเผชิญหน้ากัน ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะดูเหมาะสมในแง่ของจำนวนของนักรบ แต่มันเทียบกันไม่ได้ เจ้าชายเคนดริคทรงทราบดี เทียบไม่ได้ในเรื่องหัวใจ พวกกองกำลังของแอนโดรนิคัสที่เหลืออยู่เป็นพวกที่รุกรานซึ่งกำลังถอยหนี ขณะที่ทหารของเจ้าชายเคนดริคมีความพร้อมที่จะสู้เพื่อชีวิต เพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิด

เสียงร้องสัญญาณการรบดังขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เมื่อพวกเขาจู่โจมเข้ามายังประตูเมืองของลูเซีย พวกเขาเข้ามาอย่างรวดเร็วมีทหารราวเจ็ดโหลของจักรวรรดิที่ยืนอารักษ์ขาอยู่ตรงนั้น พวกนั้นหันมามองกันและกันอย่างสับสน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่ได้คาดคิดถึงการจู่โจมแบบนี้ ทหารของจักรวรรดิหันมาแล้ววิ่งเข้าไปในประตูเมืองแล้ว เขาหมุนข้อเหวี่ยงของซุ้มประตูเหล็กลงอย่างแรง

แต่มันก็ยังไม่เร็วพอ พลธนูของเจ้าชายเคนดริคหลายคนได้มุ่งหน้าไปก่อน ยิงลูกธนูและสังหารพวกเขา หัวธนูได้ลงอย่างแม่นยำตรงกลางอกและด้านหลัง หาจุดลงตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ เจ้าชายเคนดริคทรงขว้างหอกเช่นเดียวกันกับเจ้าชายรีซซึ่งอยู่เคียงข้างพระองค์ เจ้าชายเคนดริคทรงพบว่าเป้าหมายของพระองค์คือ นักรบร่างใหญ่ และทรงประทับใจที่เห็นหอกของเจ้าชายรีสที่ปล่อยออกไปอย่างไร้ความพยายามได้ลงสู่กลางหัวใจของนายทหาร ประตูเมืองยังคงเปิดอยู่และเจ้าชายเคนดริคกับทหารก็ไม่ลังเลที่จะตะโกนร้องสัญญาณการรบและเข้าโจมตี ตั้งเป้าเข้าไปให้ถึงกลางใจเมือง และไม่หยุดที่ต่อกรกับการเข้ามาปะทะ

เสียงกระทบของ โลหะดังแกร๊ง ขณะที่เจ้าชายเคนดริคและพรรคพวกได้ยกดาบ ขวาน หอกและง้าวขึ้น สู้กับทหารแห่งจักรวรรดิหลายพันนายผู้ที่เร่งเข้ามาทักทายพวกเขาบนหลังม้า ในตอนแรกของการปะทะ เจ้าชายเคนดริคได้ยกโล่ เพื่อป้องกันการถูกฟันตี ในขณะเดียวกันก็ทรงแกว่งไกวดาบ และฆ่าทหารได้สองนาย โดยไม่ต้องลังเล และพระองค์หมุนวนไปรอบๆ และป้องกันดาบที่ตีลงมา จากนั้นจึงผลักดาบออกไปเข้าสู่ใส้ในของทหารจักรวรรดิ เมื่อพวกทหารตายเจ้าชายเคนดริคทรงคิดถึงการแก้แค้นทรงคิดถึงพระนางเกว็นโดลีนและประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมานของอาณาจักรวงแหวน

เจ้าชายรีสที่อยู่ด้านข้างของพระองค์ ก็ทรงเหวี่ยงคฑาออกไป แล้วอัดเข้าที่หัวของทหารนายหนึ่ง ทำให้เขาตกลงจากหลังม้า จากนั้นจึงยกโล่ขึ้นป้องกันการโจมตีจากด้านข้าง พระองค์ทรงเหวี่ยงคฑาออกไปรอบๆ แล้วจึงพุ่งเข้าโจมตี โดยมีเอลเด็นอยู่ข้างพระองค์ เขาเร่งไปข้างหน้าด้วยขวานอันใหญ่และจัดการทหารที่หมายจะปะทะกับเจ้าชายรีสคว่ำลงมาได้ เขาตัดผ่านโล่และเข้าไปยังหน้าอกของทหารนั่น

โอคอนเนอร์ยิงธนูได้แม่นยำถึงแก่ความตาย แม้ว่าระยะจะอยู่ใกล้มากก็ตามขณะที่คอนเวนก็โยนตัวเองลงไปในสมรภูมิและต่อสู้อย่างบ้าคลั่งกระโจนเข้าไปหาเหล่าทหารทั้งหลายซึ่งเขาไม่ได้ จะใส่ใจยกโล่ขึ้นป้องกันตัว เขาเหวี่ยงดาบสองด้ามออกไป หันตัวเองมุ่งสู่กลุ่มทหารจักรวรรดิที่หนาแน่นราวกับว่า เขาต้องการจะไปตาย แต่ด้วยความน่าประหลาดใจที่เขาไม่ตาย ตรงกันข้าม เขาจัดการสังหาร ทหารอีกฝ่ายทั้งด้านซ้ายและขวา

อินดราก็ตามมาอยู่ไม่ไกลนักเธอไม่มีความกลัวใดๆ มากไปกว่าผู้ชายส่วนมาก เธอใช้ดาบสั้นด้วยทักษะอันเชี่ยวชาญและฝีมืออันเยี่ยมยอด ตัดเข้าไปเหมือนแร่เนื้อปลา ผ่านเข้าไปยังแถวของทหาร แทงเข้ายังลำคอของพวกจักรวรรดิ ในขณะนั้นเอง เธอคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองและประชาชนของเธอที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ภายใต้อำนาจพวกจักรวรรดิมากขนาดไหน

ทหารจักรวรรดิใช้ขวานของเขาใส่ลงมายังพระเศียรเจ้าชายเคนดริค ก่อนที่พระองค์จะหลบมันได้ พระองค์ทรงทำพระทัยกล้าเตรียมตัวรับการเข้าฟันนั้น แต่พระองค์ทรงได้ยิน เสียงกระแทกของโลหะดังสนั่นและทอดพระเนตรเห็นพระสหายของพระองค์ แอ็ทมีอยู่เคียงข้างพระองค์ เขาหยุดการเข้าฟันนั้นด้วยโล่ของเขา แอ็ทมีแทงหอกของเขาเข้าไปยังทหารที่เขาโจมตีในช่องท้อง เจ้าชายเคนดริครู้สึกเป็นหนี้ชีวิตของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่ทหารอีกคนนึงจู่โจมเข้ามาด้วยคันธนูและลูกศรที่ตั้งเป้าเอาไว้กับแอ็ทมี เจ้าชายเคนดริคทรงรี่เข้าไปด้านหน้าและฟันด้วยดาบของพระองค์ไปยังคันธนู ฟันมันขึ้นสูงสู่อากาศ ตัวลูกศรก็ถูกยิงไปอย่างไร้จุดหมายอยู่เหนือหัวของแอ็ทมี จากนั้น เจ้าชายเคนดริคก็ต่อสู้กับทหารอยู่บนสะพานด้วยการใช้ดาบ พระองค์ทรงล้มเขาลงจากม้า และเขากระทืบเขาจนถึงแก่ความตาย ตอนนี้พวกเขาเสมอกันแล้ว

และเมื่อสมรภูมิยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ละกองทัพก็ยังคงสู้ฟันและนายทหารแต่ละฝ่ายก็ต่างสูญเสีย แต่การสูญเสียของจักรวรรดิมีมากกว่า เมื่อทหารของเจ้าชายเคนดริคต่อสู้ด้วยความเดือดดาล แล้วก็อัดตัวกันเข้าไปอย่างในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด พวกเขาก็กวาดล้างพวกมันไปอย่างกับกระแสน้ำ ทหารจักรวรรดิเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาเป็นพวกที่รู้จักแต่การเข้าจู่โจมและไม่รู้จักระมัดระวังตัวตั้งรับ เพียงไม่นาน พวกเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีของเจ้าชายเคนดริคได้แล้ว มันก็ทำให้จำนวนของพวกเขาลดลงอย่างมาก

หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดร่วมชั่วโมง การสูญเสียของทหารจักรวรรดิก็เริ่มเข้าสู่การล่าถอย บางคนจากฝั่งนั้นได้เป่าสัญญาณแตรและพวกเขาก็เริ่มหันหนีและควบม้าออกไปออกไปจากเมืองนั้นทีละคนๆ

ด้วยเสียงร้องตะโกนที่ดังยิ่งกว่าเดิม เจ้าชายเคนดริคและทหารของเขาก็เร่งรุดตามพวกเขาไป ไล่ล่าจนพวกเขาออกไปจากเมืองลูเซีย ตามพวกเขาจนออกไปจากนอกประตูเมือง

พวกที่ยังหลงเหลืออยู่ในกองทัพของจักรวรรดิยังมีจำนวนอยู่หลายร้อยคน พวกเขาขี่ม้าออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ในช่วงชุลมุนนี้ พวกเขาแย่งกันออกไป ไปยังเส้นขอบฟ้า มีเสียงดังมาจากชาวลูเซียที่ได้รับการปลดปล่อย เจ้าชายเคนดริคได้ฟันเชือกของเขาและปลดปล่อย พวกเขาไปและพวกนักโทษไม่ยอมสูญเสียเวลา พวกเขาขี่ม้าไล่ตามทหารจักรวรรดิ โดยเลือกม้าและไปดึงอาวุธมาจากซากศพและเข้าร่วมกับกองทหารของเจ้าชายเคนดริค

กองทัพเจ้าชายเคนดริคได้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า มีจำนวนหลายพันคน พวกเขาไล่ล่าทหารของจักรวรรดิที่วิ่งขึ้นและลงภูเขา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ โอคอนเนอร์และคนอื่นๆ ที่เป็นมือธนูก็จัดการสังหารพวกเขา โดยมีร่างของพวกเขาตกลงมาจากหลายทิศทาง

การไล่ล่ายังคงมีต่อไป เจ้าชายเคนดริคทรงสงสัยว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เมื่อพระองค์และทหารได้ขึ้นไปยอดที่สูงที่สุดและทรงทอดพระเนตรลงมา เห็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแม็คกิลทางฝั่งตะวันออกของลูซี่ ที่ทำมาจาก ติดกำแพงหินหนาและมีประตูเหล็กกั้นเอาไว้ที่นั่นที่เจ้าชายเคนดริคทรงตระหนักได้ว่า ทหารที่เหลือของจักรวรรดิได้หนีเขาไปและในเมืองนั้นก็ยังมีทหารของจักรวรรดิอยู่อีกหลายหมื่นนาย

เจ้าชายเคนดริคทรงหยุดทหารของพระองค์อยู่ด้านบนสุดของเนินเขาและทรงทอดพระเนตรลงไปในเหตุการณ์นั้นเมืองวีนีเซียเป็นเมืองหลักและพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่าพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่ามันเป็นเรื่องที่บ้าระห่ำที่จะลองทำเช่นนั้น แต่ว่า เรื่องที่ปลอดภัยตอนนี้ น่าจะเป็นการกลับไปยังเมืองซิเลเซีย และรู้สึกซาบซึ้งสำหรับชัยชนะที่นี่ในวันนี้

แต่เจ้าชายเคนดริคไม่ได้อยู่ในพระอารมณ์ที่จะเลือกความปลอดภัยให้ตัวเองหรือให้พลทหารของพระองค์ พวกเขาต้องการเลือด พวกเขาต้องการแก้แค้นและในวันแบบวันนี้มันไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว มันเป็นเวลาที่จะให้พวกทหารจักรวรรดิได้รู้ว่าพวกแม็คกิลทำมาจากอะไร

“เข้าจู่โจม!” เจ้าชายเคนดริคร้องตะโกน

เมื่อพระเสียงสุรเสียงดังขึ้น ทหารหลายพันนายก็เร่งรุดเข้ามาเข้าโจมตีอย่างบ้าระห่ำอยู่ที่เนินเขาด้านล่าง มุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ที่มีจำนวนศัตรูมากกว่าเตรียมตัวที่จะเสียสละชีพและเสี่ยงอันตรายเพื่อเกียรติยศและความกล้าหาญ

ธรรมเนียมแห่งดาบ

Подняться наверх