Читать книгу กำเนิดราชันย์มังกร - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 6
บทที่หนึ่ง
Оглавлениеไคร่ายืนอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก เหนือพื้นหิมะที่แข็งตัวใต้รองเท้าบูทของเธอ หิมะกำลังตก เธอพยายามไม่สนใจต่อความหนาวเหน็บที่เกาะกินผิวกายในขณะที่ยกคันธนูขึ้นมาและเล็งไปยังเป้าหมาย เธอหรี่ตาลง ไม่รับรู้ถึงกระแสลม เสียงแว่วของอีกา และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เธอเพ่งสมาธิไปยังต้นเบิร์ชสีขาวสูงโปร่งที่ไกลออกไป ซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางป่าสนสีม่วง ระยะสี่สิบหลานี้คือการยิงที่บรรดาพี่น้อง หรือแม้แต่ลูกน้องของพ่อเธอก็ไม่สามารถทำได้ นั่นทำให้เธอรู้สึกแน่วแน่มากยิ่งขึ้น เธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม และเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในหมู่พวกเขา
ไคร่าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเธอเหมาะกับที่นี่ เธออยากทำในสิ่งที่ต้องการ ใช้เวลาเล่นกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ และเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่ลึกลงไป มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเป็นอยู่ เธอคือลูกสาวของพ่อ เธอมีจิตวิญญาณแห่งนักรบ และเธอไม่ควรถูกขังไว้หลังกำแพงหินของฐานที่มั่น เธอจะไม่ยอมจำนนต่อชีวิตที่ต้องอยู่ข้างเตาผิง ความแม่นยำของเธอยอดเยี่ยมกว่าพวกเขาเหล่านั้น ทักษะการยิงธนูอันเฉียบขาดของเธอสามารถเอาชนะพ่อของเธอได้ และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้พ่อมองเห็นว่าเธอสมควรได้รับความเคารพอย่างจริงจัง เธอรู้ดีว่าพ่อรักเธอ แต่เขาไม่ได้มองสิ่งที่เธอเป็นอยู่ในสายตา
ไคร่าฝึกซ้อมการยิงธนูเพียงลำพัง บนทุ่งโวลิสที่อยู่ห่างจากป้อมปราการซึ่งเหมาะกับเธออย่างยิ่ง ไคร่าเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในปราการของนักรบ เธอจึงต้องเรียนรู้ถึงความโดดเดี่ยว เธอปลีกตัวมาที่นี่ทุกวัน จุดที่เธอชอบมากที่สุดคือบนเนินสูงที่สามารถมองเห็นกำแพงหินของป้อมได้ทั้งหมด ที่ซึ่งเธอสามารถหาต้นไม้ดี ๆ สำหรับใช้เป็นเป้า เสียงของลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นเสียงสะท้อนที่ดังไปทั่วหุบเขา ต้นไม้ที่นี่ไม่ครณามือเธออีกต่อไป กิ่งก้านของมันเต็มไปด้วยร่องรอย ต้นไม้บางต้นเริ่มล้มเอียง
พลธนูส่วนใหญ่ของพ่อจะเล็งเป้าไปยังหนูที่วิ่งอยู่บนแนวราบ เมื่อไคร่าเริ่มยิงธนูครั้งแรก เธอทดลองด้วยตัวเอง และพบว่าเธอสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ เธอเป็นคนกล้าหาญ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์อ่อนไหว การฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยไม่มีจุดประสงค์ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เล็งธนูไปยังสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป ยกเว้นในกรณีที่ตกอยู่ในอันตรายหรือถูกจู่โจม เช่น หมาป่าค้างคาวที่ปรากฏตัวในตอนกลางคืนและบินเข้ามาใกล้ป้อมปราการ หากเป็นเช่นนี้เธอจะไม่รู้สึกลังเลที่จะยิงพวกมันให้ร่วง โดยเฉพาะหลังจากที่ไอดาน น้องชายคนเล็กของเธอต้องทนทรมานจากการถูกหมาป่าค้างคาวกัด ทำให้เขาล้มป่วยเป็นเวลาครึ่งพระจันทร์ นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดข้างนอกนั่น และเธอรู้ว่าถ้าเธอยิงหมาป่าค้างคาวในเวลากลางคืนได้ เธอก็จะสามารถยิงทุกอย่างได้เช่นกัน เธอเคยใช้เวลาทั้งคืนตอนจันทร์เต็มดวงในการยิงธนูจากหอคอยของพ่อ และหมดแรงตอนรุ่งสาง เธอรู้สึกตกใจที่เห็นกองหมาป่าค้างคาวบนพื้นพร้อมลูกธนูของเธอที่ปักอยู่ ชาวบ้านนับร้อยมารวมตัวกัน และมุงดูด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ไคร่ารวบรวมสมาธิของเธอ นิมิตถึงวิถีการยิงในดวงจิต มองเห็นตัวเธอเองกำลังยกคันธนูขึ้นมา ง้างไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว และปล่อยลูกธนูโดยไม่ลังเลใจ เธอรับรู้ได้ว่าการยิงธนูที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะยิงมันออกไป เธอเห็นนักธนูรุ่นราวคราวเดียวกับเธอหลายคนในวัย 14 ปี พวกเขาดึงคันธนูและแกว่งไปมา ไคร่ารู้ดีว่านั่นจะทำให้การยิงของพวกเขาไม่ได้เรื่อง เธอสูดหายใจลึก ยกธนูขึ้น ภายในการเคลื่อนไหวที่เฉียบขาดเพียงครั้งเดียว เธอง้างธนูและปล่อยออกไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องมองดูว่าลูกธนูนั้นพุ่งไปโดนต้นไม้หรือไม่
เสียงของลูกธนูปักลงบนต้นไม้หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ แต่เธอได้หันหลังกลับเรียบร้อยแล้ว และกำลังมองหาเป้าใหม่ซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไคร่าได้ยินเสียงร้องครางที่เท้า เธอมองลงมายังเลโอ หมาป่าของเธอที่เดินอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกำลังคลอเคลียกับขาของเธอ เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา เลโอเป็นหมาป่าโตเต็มวัย สูงเกือบเท่าเอวของเธอ เลโอคือผู้คุ้มกันของไคร่า เช่นเดียวกับไคร่าที่เป็นผู้ดูแลมัน ทั้งคู่ไม่อาจละสายตาจากกัน ไคร่าไม่สามารถไปไหนโดยไม่มีเลโอคอยวิ่งตาม และตลอดเวลาเลโอจะอยู่ข้างกายเธอ เว้นแต่มีกระรอกหรือกระต่ายเข้ามาขวางทางซึ่งมันจะหายไปเป็นชั่วโมง
“ข้าไม่ได้ลืมเจ้า เลโอ” ไคร่าพูด เอื้อมมือลงไปในกระเป๋า แล้วยื่นเศษกระดูกที่เหลือจากวันก่อน เลโอใช้ปากงับและวิ่งเหยาะ ๆ อย่างมีความสุขอยู่ข้างเธอ
เมื่อไคร่าเดินต่อไป อากาศหนาวทำให้ลมหายใจของเธอกลายเป็นไอ เธอพาดธนูไว้เหนือไหล่ หายใจลงบนมืออันเย็นเฉียบที่ไม่มีอะไรสวมใส่ เธอเดินข้ามที่ราบอันกว้างใหญ่และไกลสุดสายตา จากจุดนี้เธอสามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้ทั้งหมด เนินเขาของโวลิสที่ปกติจะเป็นสีเขียว บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อาณาเขตป้อมปราการของพ่อตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเอสคาลอน ที่นี่ทำให้ไคร่าสามารถมองเห็นได้ทั่วว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในป้อมปราการ ชาวบ้านและนักรบกำลังเดินเข้าออกกันอย่างขวักไขว่ ไคร่าชอบศึกษาเรื่องราวโบราณ ป้อมปราการของพ่อสร้างขึ้นจากหิน รูปทรงใบเสมาบนกำแพงและหอคอยแผ่ขยายออกไปตลอดแนวเขาอย่างน่าทึ่ง เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด โวลิสคือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในชานเมือง บางส่วนของอาคารสูงสี่ชั้นและประกอบด้วยใบเสมาบนกำแพง พร้อมด้วยหอคอยทรงกลมอีกฝั่งที่อยู่ไกลออกไป ที่นี่เป็นโบสถ์สำหรับชาวบ้าน แต่สำหรับไคร่าแล้วมันคือสถานที่สำหรับปีนป่าย เพื่อชมวิวโดยรอบและได้อยู่เพียงลำพัง อาคารหินแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำ เชื่อมต่อกับสะพานโค้งที่ทำจากหินและถนนสายหลักที่ทอดยาวออกไป ด้านนอกล้อมรอบด้วยเขื่อน เนินเขา คูน้ำ และกำแพง นับเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหนึ่งในนักรบคนสำคัญของพระราชา ผู้เป็นบิดาของเธอ
แม้ว่าโวลิสจะเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนกำแพงอัคคี ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันในการขี่ม้าไปยังเอนดรอส เมืองหลวงของเอสคาลอน ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของนักรบผู้มีชื่อเสียงหลายคน นอกจากนี้โวลิสยังกลายเป็นประภาคาร ชาวบ้านและชาวนาหลายร้อยชีวิตได้อาศัยอยู่ข้างในหรือใกล้กับกำแพง ภายใต้การคุ้มครองของมัน
ไคร่ามองลงไปยังกระท่อมสิบสองหลังที่ทำจากดิน ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาด้านนอกป้อม มีควันลอยออกจากปล่องไฟ เหล่าชาวนาต่างเร่งรีบและเดินไปมา พวกเขากำลังเตรียมตัวสำหรับฤดูหนาว และงานเทศกาลตอนกลางคืน การอาศัยอยู่นอกกำแพงหลักทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัย ไคร่ารู้ว่ามันคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความยำเกรงที่มีต่ออำนาจของพ่อ และไม่สามารถพบได้จากที่ไหนในเอสคาลอน หากได้ยินแตรสัญญาณอยู่ห่างออกจากการป้องกันดังขึ้น กองกำลังของพ่อเธอจะรุดหน้าไปในทันที
ไคร่ามองดูสะพานยกที่อยู่เบื้องล่าง สะพานแห่งนี้มักเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ชาวนา ช่างซ่อมรองเท้า พ่อค้าเนื้อ ช่างตีดาบ รวมถึงนักรบ ทั้งหมดกำลังเดินเข้าออกป้อมปราการ ภายในกำแพงไม่ใช่สถานที่สำหรับการใช้ชีวิตและฝึกฝนเท่านั้น แต่ยังเป็นลานหินกรวดขนาดใหญ่ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวของบรรดาพ่อค้า ทุก ๆ วันแผงลอยมากมายจะวางเรียงรายทอดยาวออกไป ผู้คนต่างค้าขายสินค้า แลกเปลี่ยน คุยโอ้อวดถึงสิ่งที่ล่าหรือจับมาได้ รวมถึงเสื้อผ้าจากต่างแดน เครื่องเทศ และลูกกวาดที่ซื้อขายกันทั่วน่านน้ำ สนามหลังป้อมปราการมักจะเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย บ้างก็เป็นชาจากต่างถิ่น หรือสตูว์ เธอสามารถเดินชมสิ่งเหล่านี้ได้เป็นเวลานาน และเหนือกำแพงที่อยู่ไกลออกไป หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเมื่อได้เห็นสนามฝึกทรงกลมของทหาร ประตูของนักสู้ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินขนาดเล็ก เธอมองดูด้วยความตื่นเต้น เหล่าทหารม้าพุ่งตัวออกไปด้วยแถวที่เป็นระเบียบ พยายามแทงหอกใส่โล่ที่แขวนอยู่บนต้นไม้ เธอต้องการที่จะฝึกร่วมกับพวกเขา
ทันใดนั้น ไคร่าได้ยินเสียงร้องตะโกนขึ้นมา เสียงที่เธอรู้สึกคุ้นเคยดังมาจากเรือนเฝ้าประตู ไคร่าหันไปมอง มันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายในฝูงชน เธอมองผ่านความพลุกพล่านที่เนืองแน่นและล้นออกมาบนถนนสายหลัก เผยให้เห็นน้องชายคนเล็กของเธอ ไอดานถูกพาตัวไปโดยแบรนดอนและเบร็กซ์ตัน พี่ชายคนโตสองคนของเธอ ไคร่ารู้สึกตึงเครียดและเตรียมพร้อมรับมือ เธอสามารถรับรู้ได้จากเสียงเศร้าโศกของน้องชายคนเล็กว่าพวกพี่ชายกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่นอน
ไคร่าหรี่ตาลงในขณะที่มองไปยังพี่ชายทั้งสองของเธอ ความโกรธอันคุ้นเคยกำลังปะทุขึ้นมา เธอบีบคันธนูในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไอดานกำลังเดินอยู่ระหว่างพวกพี่ชายที่ตัวสูงกว่าประมาณฟุตหนึ่ง แต่ละคนจับแขนของไอดาน ลากเขาออกจากป้อมโดยไม่เต็มใจและเข้าไปยังชานเมือง แววตาของไอดานบ่งบอกถึงความดื้อรั้น ไอดานเป็นเด็กผู้ชายอ่อนไหว ตัวผอม รูปร่างเล็ก อายุเกือบสิบขวบ เขาดูไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งเมื่อถูกขนาบข้างด้วยพี่ชายทั้งสองคน พวกพี่ชายอยู่ในช่วงวัยรุ่น พวกเขาอายุสิบเจ็ดและสิบแปดปี ทั้งคู่มีลักษณะและสีผิวคล้ายกัน รวมถึงแนวกรามที่ดูแข็งแรง คางที่ได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มและผมสีน้ำตาลสลวย แบรนดอนและเบร็กซ์ตันสวมใส่กางเกงขาสั้น พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนกัน และไม่มีใครเหมือนเธอ เธอมีผมสีบลอนด์สว่างและดวงตาสีเทาอ่อน แต่งกายในชุดทอ เสื้อคลุมขนสัตว์และเสื้อชั้นนอก ไคร่ารูปร่างสูงผอม ผิวสีอ่อน เธอมีหน้าผากกว้างและจมูกเล็ก ลักษณะพิเศษนี้ทำให้ผู้ชายมากกว่าหนึ่งคนต้องเหลียวมองเธอถึงสองครั้ง โดยเฉพาะวัยสิบห้าปีของเธอตอนนี้ เธอสังเกตได้ว่ามีผู้คนหันมามองเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ และเธอไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นสาวสวย เธอไม่เคยสนใจเรื่องรูปลักษณ์ เธอสนแต่เรื่องการฝึกฝนเท่านั้น เธอควรจะมีลักษณะคล้ายกับพ่อของเธอมากกว่าพวกพี่ชาย พ่อเป็นบุคคลที่เธอนับถือและรักมากกว่าสิ่งใดในโลก มากกว่าความสวยงามของเธอ เธอมักส่องกระจกค้นหาบางอย่างของพ่อในดวงตาของเธอ ไม่ว่าเธอพยายามเท่าไร แต่เธอก็ไม่สามารถค้นพบได้
“ข้าบอกว่าออกไปให้ห่างจากข้า!” ไอดานตะโกน เสียงของเขาดังขึ้นมาถึงที่นี่
น้ำเสียงที่ดูมีความทุกข์ของน้องชายคนเล็ก เด็กผู้ชายซึ่งไคร่ารักมากกว่าใครในโลกนี้ ไคร่ายืนขึ้น เหมือนสิงโตที่กำลังมองลูกของมัน เลโอก็ยืนตัวแข็งเช่นกัน ขนบนหลังของมันตั้งชัน แม่ของพวกเขาจากไปนานแล้ว ไคร่าจึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบการดูแลไอดาน เพื่อทดแทนในส่วนที่แม่ของเธอไม่ได้ทำ
แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานไปตามถนน ออกห่างจากป้อม บนถนนเปลี่ยวที่มุ่งสู่ป่าอันห่างไกล เธอมองเห็นว่าพวกเขาพยายามให้ไอดานจับหอก ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเขา ไอดานกลายเป็นเป้าที่ต้องถูกรังแก แบรนดอนและเบร็กซ์ตันเป็นพวกเด็กเกเร พวกเขาแข็งแรงและค่อนข้างกล้าหาญ แต่พวกเขาดูวางก้ามมากกว่าจะมีทักษะที่แท้จริง พวกเขามักสร้างปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง มันช่างโง่เง่ายิ่งนัก
ไคร่ารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แบรนดอนและเบร็กซ์ตันลากไอดานมาเพื่อร่วมล่ากับพวกเขา เธอสังเกตเห็นถุงใส่ไวน์ที่อยู่ในมือของพวกเขาและรู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังเมา ความรู้สึกโกรธของเธอพลุ่งพล่าน พวกเขาไม่เพียงแต่กำลังจะไปฆ่าสัตว์ที่ไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้พวกเขากำลังลากน้องชายคนเล็กไปด้วย แม้ว่าเขาจะต่อต้านก็ตาม
สัญชาตญาณในตัวของไคร่ากระตุ้นตัวเธอ เธอกระโจนเข้าไปเพื่อขัดขวาง วิ่งลงเขาไปเพื่อเผชิญหน้าพวกเขา เลโอวิ่งตามมาเคียงข้างเธอ
“ตอนนี้เจ้าโตพอแล้ว” แบรนดอนพูดกับไอดาน
“มันถึงเวลาที่เจ้าจะกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด
ไคร่ากระโดดลงมาตามเนินหญ้า รับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจ ใช้เวลาไม่นานไคร่าก็วิ่งทันพวกเขา เธอวิ่งลงมาบนถนนและหยุดต่อหน้าพวกเขา ปิดกั้นเส้นทาง หายใจเสียงดัง เลโออยู่ข้างกายเธอ พวกพี่ชายของเธอหยุดเดิน มองกลับมาด้วยความตกใจ
เธอสามารถเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของไอดานดูโล่งใจ
“นี่เจ้าหลงทางหรือ?” แบร็กซ์ตันพูดเหน็บ
“เจ้ากำลังขวางทางพวกเรา” แบรนดอนพูด “กลับไปเล่นธนูกับไม้ขีดของเจ้าไป”
พวกเขาสองคนหัวเราะเยาะเย้ย แต่ไคร่าคิ้วขมวด สงวนท่าที เช่นเดียวกับเลโอที่ยืนอยู่ข้างเธอ มันส่งเสียงคำรามออกมาเล็กน้อย
“เอาสัตว์ร้ายนั่นออกไปให้พ้น” แบร็กซ์ตันพยายามพูดให้ดูกล้าหาญในขณะที่กำหอกในมือแน่น ความหวาดกลัวแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“พวกเจ้ากำลังจะพาไอดานไปไหน?” เธอถามอย่างจริงจัง มองกลับไปยังพวกเขาอย่างแน่วแน่
พวกเขาหยุดนิ่ง สีหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“พวกข้าจะพาเขาไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ” แบรนดอนพูด
“เขากำลังจะไปล่า เพื่อเรียนรู้การกลายเป็นลูกผู้ชาย” แบร็กซ์ตันพูด เน้นที่คำสุดท้ายเพื่อแทงใจเธอ
แต่เธอไม่สนใจ
“เขายังเด็กเกินไป” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น
แบรนดอนทำตาถลึง
“ใครบอก?” เขาถาม
“ข้าบอกอยู่นี่ไง”
“เจ้าเป็นแม่เขาหรือ?” แบร็กซ์ตันถาม
ไคร่าหน้าแดง เต็มไปด้วยความโกรธ เธออยากให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“ก็เหมือนกับที่พวกเจ้าทำตัวเป็นพ่อของเขา” เธอตอบ
พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ไคร่ามองไปที่ไอดาน เขามองกลับมาด้วยแววตาหวาดกลัว
“ไอดาน” เธอถามเขา “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทำหรือ?”
ไอดานก้มหน้ามองพื้น หน้าเจื่อน เขายืนอยู่ตรงนั้น หลบสายตา ไคร่ารู้ว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่าจะทำให้พี่ชายของเขาไม่พอใจ
“เป็นไงล่ะ ได้คำตอบแล้วนี่” แบรนดอนพูด “เขาไม่ปฏิเสธ”
ไคร่ายืนนิ่ง ร้อนรุ่มด้วยความไม่พอใจ เธอต้องการให้ไอดานพูดออกมา แต่ก็ไม่สามารถบังคับเขาได้
“การพาเขาออกมาล่ากับพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด” เธอพูด “พายุกำลังก่อตัว ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว ในป่าเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าพวกเจ้าต้องการสอนเขาออกล่า เมื่อเขาโตกว่านี้ค่อยพาเขามาก็ได้”
พวกเขาค้อนตากลับอย่างรำคาญ
“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับการล่าบ้าง?” แบร็กซ์ตันถาม “เจ้าล่าอะไรนอกจากต้นไม้พวกนั้น?”
“พักหลังพวกมันแว้งกัดเจ้าบ้างไหม?” แบรนดอนเสริม
ทั้งคู่หัวเราะออกมา ไคร่ารู้สึกโกรธ กำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ถ้าไอดานไม่พูดออกมา เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“เจ้าเป็นกังวลมากเกินไปน้องรัก” แบรนดอนพูดออกมา “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอดานหรอก พวกเราคอยระวังอยู่ เราอยากทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อย ไม่ได้จะฆ่าเขา นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าคือคนเดียวที่เป็นห่วงเขา?”
“นอกจากนี้ ท่านพ่อกำลังมองอยู่” แบร็กซ์ตันพูด “เจ้าอยากทำให้ท่านพ่อผิดหวังหรือ?”
ไคร่ามองข้ามไหล่พวกเขา สูงขึ้นไปบนหอคอย เธอเห็นพ่อยืนอยู่ที่หน้าต่างโค้งที่เปิดรับลมอยู่ กำลังเฝ้ามองลงมา เธอรู้สึกผิดหวังในตัวพ่ออย่างที่สุดที่เขาไม่หยุดเรื่องนี้
พวกเขาพยายามเดินฝ่าไป แต่ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น ดื้อรั้นที่จะขวางทางไว้ พวกเขาคิดที่จะผลักเธอออกไป แต่เลโอเดินเข้ามา และส่งเสียงขู่ พวกเขารู้ว่าท่าไม่ดีแน่
“ไอดาน มันยังไม่สายเกินไป” เธอพูดกับเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้ เจ้าต้องการกลับไปที่ป้อมกับข้าไหม?”
เธอมองหน้าเขา เห็นแววตาความสบายใจและความอึดอัดของเขา ความเงียบอันยาวนานผ่านไป ไม่มีสิ่งมารบกวน เว้นแต่เสียงลมพัดและหิมะที่กำลังตก
ในที่สุดเขาก็แสดงท่าทีออกมา
“ข้าต้องการออกล่า” เขาพูดพึมพำอย่างไม่เต็มใจ
พวกพี่ชายเดินผ่านไปพร้อมกระแทกไหล่ของเธอ และลากไอดานไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าสู่ถนน ไคร่าหันหลังและมองดูพวกเขา รู้สึกปั่นป่วนในท้อง
เธอมองไปที่ป้อมปราการ มองขึ้นไปบนหอคอย แต่พ่อของเธอไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
ไคร่ามองพี่น้องทั้งสามคนจนลับตา พวกเขาเดินเข้าสู่พายุที่กำลังก่อตัว ไปยังป่าแห่งหนาม เธอคิดที่จะชิงตัวไอดานและนำเขากลับมา แต่เธอไม่อยากทำให้เขาอับอาย
เธอรู้ว่าควรปล่อยให้มันเป็นไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ บางอย่างภายในตัวของเธอไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เธอรับรู้ได้ถึงอันตราย โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ำของเหมันต์จันทรา เธอไม่ไว้ใจพี่ชายทั้งสอง เธอรู้ว่าพวกเขาคงไม่ทำร้ายไอดาน แต่พวกเขาสะเพร่าและอันธพาลเกินไป แย่ไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจในทักษะของตัวเองเกินไป มันช่างเป็นส่วนผสมที่เลวร้าย
ไคร่าไม่อาจทนได้อีกต่อไป ถ้าพ่อของเธอไม่ยอมทำอะไร เธอจะทำเอง เธอโตพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร
ไคร่าออกวิ่งไปยังเส้นทางเปลี่ยวริมป่า เลโอวิ่งอยู่ข้างเธอ ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าสู่ป่าแห่งหนาม