Читать книгу กำเนิดราชันย์มังกร - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 9

บทที่สี่

Оглавление

เมิร์คค่อย ๆ เดินลงมาจากป่า แหวกตัวผ่านต้นไวท์วูด พลางนึกย้อนถึงชีวิตที่ผ่านมา สี่สิบปีของเขานับเป็นช่วงเวลาที่ช่างยากลำบาก เขาไม่เคยเดินทางในป่า ไม่เคยได้ใช้เวลาชื่นชมกับความงดงามรอบตัว เขาก้มลงดูใบไม้สีขาวที่ถูกบดละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า สลับกับเสียงของไม้เท้าที่แตะลงบนผืนป่าอันอ่อนนุ่ม ในขณะที่เดินไปนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองความสวยงามของต้นอีสป ที่ปกคลุมด้วยใบสีขาวสว่างและกิ่งก้านประกายแดง ส่องแสงระยิบระยับรับอรุณแรกยามเช้า ใบของมันกำลังร่วงหล่น โปรยปรายลงมาราวกับหิมะ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างแท้จริง

รูปร่างและความสูงของเขาเหมือนกับคนทั่วไป เขามีผมสีดำเข้ม หนวดเครารุงรัง กรามกว้าง คางยาว โหนกแก้มยื่นออกมา และดวงตาสีดำโตที่มีรอยคล้ำใต้ตา สภาพของเมิร์คตอนนี้ราวกับว่าเขาไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว ในที่สุด เขาก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริง ๆ เสียที ที่แห่งนี้ในเขตเยอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเอสคาลอนไม่มีหิมะตก ลมหนาวจากมหาสมุทรพัดโชยมา ต่างจากทางตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นกว่าและใบไม้หลากสีสัน ทำให้เมิร์คสามารถค้างคืนได้โดยการใส่เสื้อคลุมแค่ตัวเดียว ไม่ต้องกลัวอากาศหนาวเย็นเหมือนในเอสคาลอน เขาเริ่มเคยชินกับการสวมใส่เสื้อคลุมแทนชุดเกราะ ถือไม้เท้าแทนดาบ แตะใบไม้ด้วยไม้เท้าของเขาแทนการทิ่มแทงศัตรูด้วยคมมีด ทั้งหมดเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา เขาอยากสัมผัสถึงความรู้สึกที่ได้กลายเป็นคนใหม่ตามที่เขาปรารถนา มันเป็นความสงบสุข แต่ดูน่าอึดอัดใจ ราวกับว่าเขากำลังเสแสร้งเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวตนของเขา

เมิร์คไม่ใช่นักเดินทาง ไม่ใช่พระ หรือผู้ชายรักสงบทั่วไป เขายังคงเป็นอย่างเคย สิ่งที่อยู่ในสายเลือดของเขา การเป็นนักรบและไม่ใช่เพียงแค่นักรบทั่วไป เขาคือชายที่ต่อสู้ด้วยกฎของเขาเอง ผู้ซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ใด ๆ เขาคือชายผู้ไม่เกรงกลัวแม้แต่การต่อสู้ในลานประลองทวน ตลอดจนตรอกท้ายโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นสถานที่โปรดของเขา บางคนเรียกเขาว่านักรบรับจ้าง นักฆ่า นักดาบรับจ้าง เขาได้รับการขนานนามหลากหลายชื่อ บ้างก็ดูเกินจริงไปหน่อย แต่เมิร์คไม่สนใจกับชื่อเหล่านั้น เขาไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ทั้งหมดที่เขาสนใจคือเขาเป็นคนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เพื่อให้เหมาะสมกับบทบาทของเขา เมิร์คได้เปลี่ยนชื่อมามากมายด้วยตัวของเขาเอง เขาเปลี่ยนตามอำเภอใจ เขาไม่ชอบชื่อที่พ่อของเขาตั้งให้ อันที่จริง เขาไม่ชอบพ่อ และเขาไม่ใช่คนที่จะดำเนินชีวิตตามที่คนอื่นบงการ เมิร์คคือชื่อที่เปลี่ยนมาใช้บ่อยที่สุด และตอนนี้เขาชอบชื่อนี้ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะเรียกเขาอย่างไร เขาสนเฉพาะสองสิ่งในชีวิต นั่นคือ การค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปักคมมีด และผู้ว่าจ้างต้องจ่ายรางวัลให้เขาด้วยทองคำใหม่เอี่ยมในปริมาณมาก

เมิร์คค้นพบเมื่อตอนเด็กว่าเขามีพรสรรค์โดยกำเนิด สิ่งที่เขาทำเหนือกว่าคนอื่น ๆ พี่ชาย พ่อและบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงทั้งหมดของเขาดูภาคภูมิใจกับการเป็นอัศวินที่มีเกียรติ สวมชุดเกราะที่ดีที่สุด กวัดแกว่งด้วยเหล็กที่ดีที่สุด เคลื่อนไหวอย่างอิสระบนม้า โบกสะบัดตราสัญลักษณ์ไปมาพร้อมผมที่มีกลิ่นเหมือนดอกไม้ และเอาชนะการแข่งขันที่ผู้หญิงต่างโยนดอกไม้มาที่เท้าของพวกเขา นั่นเป็นความภูมิใจสูงสุดของพวกเขา

เมิร์คเกลียดงานเอิกเกริก การเป็นที่สนใจ อัศวินทั้งหมดเหล่านั้นดูเหมือนจะงุ่มง่ามในการสังหาร ไร้ประสิทธิภาพที่สุด เมิร์คไม่เคยรู้สึกเคารพหรือยอมรับในตัวพวกเขา แม้แต่เครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์หรือปลอกแขนที่เหล่าอัศวินโหยหา พวกเขาขาดสิ่งสำคัญมากที่สุด มันคือทักษะในการคร่าชีวิตคนอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบ และมีประสิทธิภาพ เขาไม่มีอะไรในใจที่จะพูดถึงอีกแล้ว

เมื่อครั้งที่เขายังเด็ก เพื่อนเขาตัวเล็กเกินไปที่จะปกป้องตัวเองและมักถูกรังแกอยู่เสมอ พวกเขามาหาเมิร์ค เพราะรู้ว่าเขาเก่งกาจเรื่องดาบ เมิร์ครับเงินมาและทำหน้าที่ปกป้องพวกเขา พวกอันธพาลไม่เคยกลับมารังแกพวกเขาอีกเลย ความกล้าหาญของเมิร์คได้รับการบอกกล่าวต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการฆ่าคนของเขาพัฒนามากขึ้น และเขาได้รับเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เมิร์คสามารถกลายป็นอัศวิน นักรบผู้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา แต่เขาเลือกที่จะอยู่ในด้านมืด ชัยชนะคือสิ่งที่เขาสนใจ ความตายอย่างมีประสิทธิภาพ เขาค้นพบว่าอัศวินผู้มีอาวุธอันงดงามและชุดเกราะขนาดใหญ่นั้นไม่สามารถสังหารเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วแม้แต่ครึ่งหนึ่งเช่นที่เขาทำ ชายผู้โดดเดี่ยวสวมเสื้อหนังและมีดอันคมกริบ

ในขณะที่เมิร์คเดินไต่เขาและใช้ไม้เท้าปักลงบนใบไม้ เขานึกถึงคืนหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ได้อยู่กับพี่น้องของเขา ดาบถูกชักออกมาพร้อมกับอัศวินคู่แค้น พี่ชายของเขาถูกล้อมรอบ พวกมันมีจำนวนมากกว่า และในขณะที่อัศวินแฟนซียืนอยู่ในงานเลี้ยง เมิร์คไม่ลังเล เขาปากริชข้ามตรอกและตัดคอของพวกมันทั้งหมดก่อนที่พวกมันจะทันชักดาบออกมา

แทนที่พี่ของเขาจะขอบคุณที่ได้รับการช่วยชีวิต พวกเขากลับตีตัวออกห่าง พวกเขาหวาดกลัวและดูถูกเมิร์ค นั่นคือการขอบคุณที่เขาได้รับ การทรยศทำให้เมิร์คเจ็บปวดเหนือการสรรหาคำพูดใดมาอธิบาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกแยก ความสูงส่ง ความกล้าหาญทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงในสายตาของเมิร์ค พวกเขาเดินจากไปด้วยเกราะที่เงางามและเหยียดหยันเมิร์ค ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือและคมมีดของเขา พวกนั้นคงนอนตายอยู่หลังตรอกตั้งแต่วันนั้นแล้ว

เมิร์คเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ พลางถอนหายใจ พยายามละทิ้งอดีตที่ผ่านมา เขาตระหนักได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เข้าใจที่มาของพรสวรรค์ในตัว อาจเป็นเพราะเขารวดเร็วและว่องไว ไม่ก็ความเร็วของมือและข้อมือ เขาอาจมีพรสวรรค์พิเศษในการค้นหาจุดสำคัญของมนุษย์ก็เป็นได้ หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เคยลังเลที่จะก้าวไปอีกขั้น การทิ่มแทงครั้งสุดท้ายที่ทุกคนต่างกลัว อาจเพราะเขาไม่เคยต้องลงมือซ้ำสอง หรือเพราะว่าเขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องเตรียมการ สังหารได้ด้วยเครื่องมือทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นปากกาขนนก ค้อน ท่อนไม้เก่า เขาสามารถสร้างสรรค์ได้ไม่จำกัด พลิกแพลงได้มากกว่าคนอื่นและว่องไวกว่า นับเป็นการผสมผสามอันน่าสะพรึงกลัว

เมื่อโตขึ้นมา อัศวินที่ภาคภูมิใจเหล่านั้นได้ตีตัวออกห่างจากเขา แม้แต่แสดงการเยาะเย้ยเขาผ่านลมหายใจ (ไม่มีใครเคยเยาะเย้ยเขาต่อหน้า) แต่ตอนนี้พวกเขาแก่ตัวลง อำนาจของพวกเขาเสื่อมถอย ในขณะที่ชื่อเสียงของเมิร์คกระจายไปทั่ว เขาคือคนที่ได้รับการเกณฑ์ไปโดยพระราชา พวกเขาทั้งหมดถูกลืม เพราะพี่ของเขาไม่เคยเข้าใจว่า ความกล้าหาญ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระราชาเป็นพระราชา แต่ความน่ารังเกียจ ความรุนแรงป่าเถื่อน ความกลัว การกำจัดศัตรูทีละคน และการสังหารที่น่าสยดสยองที่ไม่มีใครอยากทำ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างพระราชา เขาคือคนที่ได้รับการพิจารณาเมื่อต้องการงานที่แท้จริงสำหรับสิ่งที่พระราชาต้องสะสาง

การปักไม้เท้าลงบนพื้นแต่ละครั้งทำให้เมิร์คนึกถึงเหยื่อแต่ละรายของเขา เขาได้สังหารศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของพระราชาโดยไม่ใช้พิษ ภารกิจนั้นเขาต้องใช้มือสังหารกระจอก ๆ นักผสมยา หญิงสาวล่อใจ รายที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาต้องการสังหารพร้อมคำแถลง และการทำเช่นนั้น พวกเขาจำเป็นต้องใช้เมิร์ค เพื่อทำบางอย่างที่สยดสยอง การป่าวประกาศด้วยมีดในลูกตา ทิ้งร่างเอาไว้กลางจัตุรัสเมือง ห้อยโตงเตงจากหน้าต่าง เพื่อให้ทุกคนมองเห็นในตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้ทุกคนสงสัยว่าใครกันที่กล้าคิดต่อต้านพระราชา

เมื่อกษัตริย์ทาร์นิส ผู้เป็นพระราชาองค์ก่อนยอมจำนนต่ออาณาจักรแพนดีเซีย เมิร์คถูกให้ความสำคัญน้อยลง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกไร้จุดหมาย การไม่มีพระราชาให้รับใช้ทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง บางอย่างที่อยู่ภายในก่อตัวขึ้นมา เหตุผลบางอย่างเขาไม่เข้าใจ เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาถูกครอบงำด้วยความตาย การเข่นฆ่า การพรากชีวิต ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ง่ายเกินไป แต่ตอนนี้ บางอย่างภายในตัวของเขากำลังเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นที่มั่นคงใต้ฝ่าเท้า เขารู้อยู่เสมอว่าชีวิตบอบบางขนาดไหน การพรากชีวิตง่ายดายเพียงใด แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับการรักษาชีวิต ชีวิตช่างบอบบาง การรักษาชีวิตไม่น่าท้าทายมากกว่าการแย่งชิงชีวิตหรือ?

และนอกจากตัวของเขาเองแล้ว เขาเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่เขาแย่งชิงจากผู้อื่นคืออะไร?

เมิร์คไม่รู้ว่าอะไรจุดประกายให้เขาย้อนดูตัวเอง แต่มันทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง บางอย่างเผยออกมาภายใต้จิตใจสำนึกของเขา ความรู้สึกสะอิดสะเอียน เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับการเข่นฆ่า เขารู้สึกเกลียดชังการฆ่าที่สุดแม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีความสุขกับมัน เขาหวังว่าจะมีบางสิ่งที่จุดชนวนเรื่องราวทั้งหมดนี้ สิ่งนั้นค่อย ๆ คืบคลานออกมาตัวจากเขาโดยไม่มีสาเหตุ และนั่นทำให้เขารำคาญอย่างที่สุด

เมิร์คไม่เหมือนกับนักรบรับจ้างคนอื่น ๆ เขาลงมือทำตามความเชื่อมั่นของเขาเท่านั้น เขาทำภารกิจได้เป็นอย่างดี ค่าจ้างสูงเกินไป ผู้ว่าจ้างเป็นคนสำคัญเกินไป เขาเริ่มมองไม่เห็นเส้นกั้น ยอมรับการฆ่าคนที่ไม่ได้ทำผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่กำลังรบกวนเขา

เมิร์คเริ่มปรารถนาการไม่ทำสิ่งใด เพราะเขาทำมาพอแล้ว เพื่อพิสูจน์กับผู้อื่นว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เขาต้องการลบเรื่องราวในอดีตทั้งหมด อยากย้อนคืนสิ่งที่ทำลงไป เพื่อเป็นการสำนึกผิด เขาได้ปฏิญาณตนกับตัวเองว่าเขาจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว ไม่แม้แต่จะยกนิ้วแตะต้องใคร เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเฝ้าขอพระเจ้าให้อภัย เพื่ออุทิศตัวของเขาในการช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่ได้นำเขามาสู่ป่าที่กำลังเดินอยู่ขณะนี้พร้อมไม้เท้าของเขา

เมิร์คมองเห็นเส้นทางป่าชันขึ้นและดิ่งลง ใบไม้สีขาวสะท้อนแสงพร่างพราว เขาตรวจสอบเส้นขอบฟ้าอีกครั้งเพื่อมองหาหอคอยเยอร์ แต่ยังคงไร้ซึ่งวี่แวว เขารู้ว่าท้ายที่สุดเส้นทางนี้ต้องนำเขาไปยังที่นั่น การเดินทางแสวงบุญครั้งนี้ได้เรียกหาเขามาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เขาหลงใหลนิทานผู้เฝ้ามองตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระเบียบลับของอัศวิน ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์และอีกครึ่งเป็นบางอย่าง งานของเขาคือการสิงสถิตอยู่ในหอคอยทั้งสอง หอคอยเยอร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือและหอคอยโคสทางตะวันออกเฉียงใต้ คอยปกป้องโบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร มันคือดาบแห่งเพลิงในตำนาน ที่เปลวไฟยังคงเผาไหม้อยู่ ไม่มีใครรู้ว่าดาบนี้อยู่ในหอคอยไหนกันแน่ ความลับที่ปกปิดไว้ไม่มีผู้ใดทราบ นอกจากผู้เฝ้ามองโบราณกาล ถ้ามันถูกเคลื่อนย้ายหรือถูกขโมย เปลวไฟอาจหายไปตลอดกาล และเอสคาลอนจะสุ่มเสี่ยงจากการโจมตี

เล่ากันว่าการยืนมองเหนือหอคอยคือการเรียกที่สูงส่ง มันเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติ ถ้าได้รับการยอมรับจากผู้เฝ้ามอง เมิร์คใฝ่ฝันถึงผู้เฝ้ามองมาตลอดชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ยามเข้านอนตอนกลางคืน เขาเฝ้าสงสัยว่าการเข้าร่วมตำแหน่งนี้จะเป็นอย่างไร เขาต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่ความสันโดษ การรับใช้ การย้อนมองตัวเอง และเขารู้ว่าไม่หนทางไหนดีกว่าการเป็นผู้เฝ้ามองอีกแล้ว เมิร์ครู้สึกว่าเขาพร้อมแล้ว เขาปลดเกราะเหล็กออกสวมเสื้อหนังแทน และถือไม้เท้าแทนดาบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาผ่านพ้นราตรีได้โดยไม่ต้องเข่นฆ่าหรือทำร้ายผู้ใด เขาเริ่มรู้สึกดีกับตัวเอง

เมื่อเมิร์คขึ้นมาสู่ยอดเนินเขาเล็ก ๆ เขามองหาอย่างมีความหวัง หลังจากเดินมาทั้งวัน เขาหวังว่ายอดเขานี้ต้องเผยให้เห็นหอคอยเยอร์บนที่หนึ่งของเส้นขอบฟ้า แต่มันกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากป่ามากมายที่ทอดยาวสุดสายตา แต่เขารู้ว่าเขาใกล้ถึงแล้ว หลังจากการปีนเขามาหลายวัน หอคอยน่าจะอยู่ไม่ไกล

เมิร์คเดินลงไปตามเนินเขา ป่าเริ่มหนาขึ้น เมื่อเขาลงมาถึงข้างล่าง เขาพบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ล้มขวางทางอยู่ เขาหยุดและมองดูมัน ชื่นชมกับขนาด กำลังคิดหาทางที่จะข้ามผ่านต้นไม้นี้

“ข้าว่านั่นน่าจะไกลมากพอแล้ว” เสียงอันร้ายกาจเปล่งออกมา

เมิร์ครับรู้ได้ถึงความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงได้ทันที บางอย่างที่เขาเคยเชี่ยวชาญ เขาไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาได้ยินเสียงเหยียบใบไม้รอบตัวเขา และใบหน้าที่ปรากฏออกมาจากป่าช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่ละใบหน้าดูไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกมันคือใบหน้าของคนที่สังหารโดยไร้เหตุผล ใบหน้าของโจรทั่วไป นักฆ่าที่ออกล่าเหยื่อแบบสุ่มไปเรื่อย และความรุนแรงอันโง่เขลา ในสายตาของเมิร์ค พวกมันคือที่สุดของสิ่งชั้นต่ำ

เมิร์คถูกปิดล้อม เขาเดินเข้ามาในกับดัก รีบเพ่งสายตาไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พวกมันทันสังเกต สัญชาตญาณเก่าของเขาตื่นตัว และเขานับได้ว่าพวกมันมีกันแปดคน ทั้งหมดถือมีดสั้น สวมชุดซอมซ่อ ใบหน้า มือและเล็บสกปรก ทั้งหมดมีใบหน้าที่แสดงถึงภาวะเข้าตาจน พวกมันคงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว และพวกมันรู้สึกเบื่อ

เมิร์คเริ่มรู้สึกตึงเครียดเมื่อหัวหน้ากลุ่มโจรเข้ามาใกล้ขึ้น นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัว เมิร์คสามารถฆ่าเขาได้ สามารถฆ่าพวกมันทั้งหมดโดยไม่ต้องกระพริบตา ถ้าเขาเลือกที่จะทำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาวิตกคือความเป็นไปได้ที่จะถูกบีบบังคับให้ต้องใช้ความรุนแรง ทั้งที่เขาตั้งใจแล้วว่าจะรักษาคำสัตย์ของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

“เอาไงดี?” หนึ่งในพวกมันถาม เดินเข้ามาใกล้ และวนรอบเมิร์ค

“ดูเหมือนจะเป็นพระ” อีกคนหนึ่งพูด เสียงของเขาดูเย้ยหยัน “แต่รองเท้าบูทนั่นดูไม่เข้ากัน”

“บางทีเขาคือพระที่คิดว่าตัวเองคือทหาร” อีกคนหัวเราะ

พวกมันทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะ ผู้ชายท่าทางโง่ ๆ อายุราวสี่สิบ ฟันหน้าไม่มี หนึ่งในพวกมันยื่นหน้าเข้ามาพร้อมลมหายใจกลิ่นเหม็นและกระแทกหัวไหล่เมิร์ค เมิร์คคนเดิมสามารถฆ่าคนที่เข้ามาใกล้ได้ในพริบตา

แต่เมิร์คคนใหม่ตั้งใจแล้วว่าจะเป็นคนที่ดีกว่า วางตัวเหนือความรุนแรง แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นการรนหาที่ตายของพวกเขา เมิร์คหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ และบังคับตัวเองให้ใจเย็น

จงอย่าพึ่งพาความรุนแรง เขายับยั้งตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

“พระรูปนี้เข้ามาทำอะไร?” หนึ่งในพวกมันถาม “สวดมนต์หรือ?”

พวกมันทั้งหมดโพล่งหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“พระเจ้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พ่อหนุ่มน้อย!” อีกคนตะโกนออกมา

เมิร์คลืมตาขึ้น และจ้องกลับไปยังพวกคนโง่เขลา

“ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเจ้า” เขาพูดอย่างใจเย็น

เสียงหัวเราะนั้นยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม เมิร์คตระหนักแล้วว่าการอยู่อย่างใจเย็น โดยไม่ตอบสนองด้วยความรุนแรง ช่างเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก

“ถ้างั้นพวกเราก็โชคดีสิเนี่ย!” อีกคนตอบ

พวกมันหัวเราะอีกครั้ง แล้วทั้งหมดก็เงียบลง เมื่อหัวหน้าของพวกมันก้าวมาข้างหน้าและพูดใส่หน้าเมิร์ค

“แต่ทว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใกล้จนเมิร์คสามารถได้กลิ่นลมเหม็น ๆ ที่ออกมาจากปาก “พวกข้าอยากจะทำร้ายเจ้า”

ชายอีกคนเข้ามาด้านหลัง เขารัดแขนหนา ๆ รอบลำคอของเมิร์ค และเริ่มรัดแน่นขึ้น เมิร์คอ้าปากกว้างในขณะที่กำลังโดนบีบคอ แรงบีบแน่นมากพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวด แต่ไม่มากพอที่จะตัดขาดอากาศทั้งหมด เขาสามารถตอบสนองกลับด้วยการเอื้อมมือไปข้างหลังและฆ่าชายคนนี้ซะ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เขารู้ตำแหน่งความดันที่เหมาะสมของปลายแขนที่จะทำให้เขาปล่อยมือออก แต่เมิร์คฝืนตัวเองไม่ให้ทำ

ปล่อยพวกมันไป เขาบอกตัวเขาเอง เส้นทางแห่งความนอบน้อมต้องมีจุดเริ่มต้นที่ไหนสักแห่ง

เมิร์คมองไปที่ผู้นำของพวกมัน

“เอาของของข้าไป อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เมิร์คพูด หายใจหอบ “เอามันไปและไปตามทางของเจ้า”

“ถ้าพวกข้าเอาไป แล้วยังอยู่ที่นี่ล่ะ?” ผู้นำตอบ

“ไม่มีใครถามเจ้าว่าเราสามารถเอาอะไรได้หรือไม่ได้ ไอ้หนู” อีกคนตอบ

หนึ่งในพวกมันเดินออกมาและรื้อค้นเอวของเมิร์ค มือแห่งความโลภกำลังค้นหาของติดตัวอันน้อยนิดที่เขาเหลืออยู่บนโลกนี้ เมิร์คบังคับให้ตัวเองใจเย็นในขณะที่มือนั้นยังคงคลำหาทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของ พวกมันเทมีดสีเงินออกมา อาวุธโปรดของเขา เมิร์คยังคงเจ็บปวด และไม่ตอบโต้

ปล่อยมันไป เขาบอกตัวเอง

“นี่อะไรน่ะ?” อีกคนถาม “มีดสั้นหรือ?”

เขาจ้องหน้าเมิร์ค

“พระแต่งตัวเช่นเจ้าพกมีดด้วยหรือ?” หนึ่งในนั้นถาม

“เจ้ากำลังจะทำอะไรน้องชาย แกะสลักไม้หรือ?” อีกคนถาม

พวกมันทั้งหมดหัวเราะ เมิร์คกัดฟันแน่น สงสัยว่าเขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน

ผู้ชายที่เอามีดไปหยุดกับที่ มองดูข้อมือเมิร์ค และดึงแขนของเขาออกมา เมิร์คพยายามอดกลั้น เมื่อรู้ว่าพวกมันเห็นสิ่งนั้นแล้ว

“นี่อะไร?” โจรถาม จับข้อมือของเมิร์คและชูขึ้นมาเพื่อตรวจสอบดู

“ดูเหมือนหมาจิ้งจอก” คนหนึ่งพูด

“ทำไมพระถึงมีรอยสักรูปหมาจิ้งจอก?” อีกคนถาม

ชายอีกคนก้าวมาข้างหน้า ชายรูปร่างสูง ผอมบาง ผมสีแดง เขาจับข้อมือของเมิร์ค ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขาปล่อยมือลง และมองมาที่เมิร์คด้วยสายตาหวาดระแวง

“นั่นไม่ใช่หมาจิ้งจอกไอ้พวกโง่” เขาพูดกับพรรคพวก “มันคือหมาป่า เครื่องหมายของชายที่เป็นคนของพระราชา พวกทหารรับจ้าง”

เมิร์ครู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงก่ำ เมื่อเขารู้ว่าพวกมันกำลังจ้องไปที่รอยสักของเขา เขาไม่อยากให้ใครเห็นมัน

โจรทั้งหมดเงียบลง จ้องไปยังรอยสัก และเป็นครั้งแรกที่เมิร์คเห็นความลังเลบนใบหน้าของพวกมัน

“นั่นคือลำดับของนักฆ่า” อีกคนพูดแล้วถามต่อ “เจ้าได้รอยสักนี้มาอย่างไร?”

“บางทีมันอาจทำขึ้นมาเองก็ได้” อีกคนตอบ “เพื่อให้การเดินทางปลอดภัยขึ้น”

ผู้นำพยักหน้าบอกคนของเขาให้ปล่อยแขนที่รัดคอออก เมิร์ครีบสูดหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกผ่อนคลาย แต่หัวหน้าโจรเดินเข้ามา และจ่อมีดลงบนคอของเมิร์ค เมิร์คสงสัยว่าถ้าเขาตายที่นี่ ในสถานที่แห่งนี้ มันอาจเป็นบทลงโทษสำหรับการสังหารทั้งหมดที่เขาทำ เขาสงสัยว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับความตาย

“ตอบเขาสิ” หัวหน้าโจรตะคอก “เจ้าทำขึ้นมาเองใช่ไหม? พวกเขาพูดว่าเจ้าต้องฆ่าคนหนึ่งร้อยเพื่อให้ได้รอยสักนั้นมา”

เมิร์คสูดหายใจ ท่ามกลางความเงียบสงัด เมิร์คกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา

หนึ่งพัน” เขาพูด

ผู้นำกระพริบตา ทำหน้าฉงน

“อะไรนะ?” เขาถาม

“พันคน” เมิร์คอธิบาย “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ได้รอยสักนั้นมา มันถูกมอบให้ข้าโดยพระราชาทาร์นิส”

พวกมันทั้งหมดจ้องมองอย่างตกใจ ตามมาด้วยความเงียบปกคลุมไปทั่วป่า เงียบมากจนเมิร์คสามารถได้ยินเสียงแมลงร้อง เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

หนึ่งในพวกมันส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และคนที่เหลือก็หัวเราะตาม พวกมันทั้งหมดหัวเราะดังลั่น ในขณะที่เมิร์คยืนอยู่ที่นั่น กำลังคิดว่ามันคงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่พวกมันเคยได้ยิน

“ตลกมากน้องชาย” โจรพูด “เจ้าเป็นพระที่โกหกเก่งชะมัด”

ผู้นำผลักมีดเข้ามาที่คอของเขา แรงพอที่จะทำให้เลือดไหล

“ข้าบอกว่าให้ตอบมา” หัวหน้าย้ำ “คำตอบที่แท้จริง เจ้าอยากตายตอนนี้ใช่ไหม?”

เมิร์คยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเจ็บปวด เขาคิดทบทวนคำถาม ครุ่นคิดอย่างจริงจัง เขาต้องการตายที่นี่หรือ? มันเป็นคำถามที่ดี และมันเป็นคำถามที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกโจรคาดคิด ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิด เขาตระหนักได้ว่าใจหนึ่งเขาเองก็อยากตาย เขาเหนื่อยกับการมีชีวิต ความเหนื่อยล้าที่แทรกซึมเข้ากระดูก

แต่เมื่อเขาใคร่ครวญอย่างถ่องแท้ เมิร์คกลับคิดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะตาย ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขาพร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ใช่ตอนที่เขาเริ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิต เขาต้องการโอกาสเพื่อเปลี่ยนแปลง เขาต้องการโอกาสเพื่อรับใช้หอคอย เพื่อกลายเป็นผู้เฝ้ามอง

“ไม่ จริง ๆ แล้วข้ายังไม่อยากตาย” เมิร์คตอบ

แววตาของเขามุ่งมั่น ความฮึกเหิมกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจของเขา

“และด้วยเหตุผลนั้น” เขาพูดต่อ “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งในการปล่อยข้าไป ก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”

พวกโจรมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ก่อนที่หัวหน้าโจรจะทำหน้าบึ้งและเริ่มลงมือ

เมิร์ครู้สึกถึงคมดาบที่เริ่มเฉือนลงบนคอของเขา บางอย่างภายในตัวของเขากำลังตอบสนอง มันคือความเชี่ยวชาญของเขา สิ่งที่เขาทำการฝึกฝนมาทั้งชีวิต เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นั่นหมายถึงการผิดต่อคำสาบานของตัวเอง…แต่เขาไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

เมิร์คคนเก่ากลับมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยจากไปไหน…และในชั่วพริบตา เขาพบว่าตัวเองกลับเข้าสู่วังวนของการเป็นนักฆ่าอีกครั้ง

เมิร์คเพ่งสมาธิและมองดูการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ทั้งหมด ทุกการกระตุก ทุกจุดของแรงกดดัน ทุกตำแหน่งที่เปราะบาง ความปรารถนาที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดได้เข้าครอบงำเขาเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนดังเพื่อนเก่า และเมิร์คปล่อยให้มันเป็นไป

ภายในการเคลื่อนไหวแบบสายฟ้าแลบเพียงครั้งเดียว เมิร์คจับข้อมือของหัวหน้าโจร กดนิ้วลงไปที่จุดหลอดลม กดลงไปจนมันแตก แล้วนั้นคว้ามีดที่หล่นลง เฉือนคอของชายคนนั้นจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง

หัวหน้าของพวกโจรจ้องมองเมิร์คด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะล้มลงบนพื้น และนอนตายแน่นิ่ง

เมิร์คหันกลับไปและเผชิญหน้ากับพวกที่เหลือ ทั้งหมดจ้องกลับมา ตกตะลึง อ้าปากค้าง

ตอนนี้ถึงตาของเมิร์คที่จะเป็นฝ่ายยิ้ม เขามองดูพวกมันทั้งหมด รู้สึกเพลิดเพลินอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“บางครั้งนะ ไอ้หนู” เขาพูด “พวกเจ้าก็เลือกที่จะหาเรื่องผิดคน”

กำเนิดราชันย์มังกร

Подняться наверх