Читать книгу กำเนิดราชันย์มังกร - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 8
บทที่สาม
Оглавлениеไคร่าเดินตามหลังพวกพี่ชายเพื่อกลับไปยังป้อมปราการ พวกเขากำลังพยายามแบกน้ำหนักของหมูป่า ไอดานเดินอยู่ข้างเธอพร้อมเลโอที่กลับมาจากเกมวิ่งไล่ของมันแล้ว แบรนดอนและแบร็กซ์ตันแบกซากศพสัตว์ร้ายที่ผูกเข้ากับหอกสองอันและแบกไว้บนบ่าคนละข้าง ความหวาดกลัวของพวกเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาออกมาจากป่าและเจอท้องฟ้าที่เปิดโล่ง ตอนนี้สามารถมองเห็นป้อมปราการของพ่ออยู่ในระยะสายตาแล้ว แต่ละก้าวที่เดินไป แบรนดอนและแบร็กซ์ตันเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง เกือบจะกลับมาเป็นพวกหัวดื้อตามเดิม ทั้งสองคนกำลังหัวเราะ หยอกล้อกันไปมาและโอ้อวดทักษะของพวกเขา
“หอกของข้าพุ่งถากหมูป่า” แบรนดอนพูดกับแบร็กซ์ตัน
“แต่” แบร็กซ์ตันแย้ง “หอกของข้าทำให้หมูป่าเปลี่ยนทางไปโดนธนูของไคร่า”
ไคร่ากำลังฟังอยู่ ใบหน้าของเธอแดงก่ำกับเรื่องราวโกหกของพวกเขา พี่ชายหัวรั้นของเธอกำลังทำตัวเองให้เชื่อเรื่องราวที่กุขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ เธอคาดไว้แล้วว่าพวกเขาจะโอ้อวดเรื่องนี้เมื่อกลับไปยังห้องโถงของพ่อ และบอกเล่ากับทุกคนถึงการฆ่าของพวกเขา
มันน่าโมโหเสียจริง เธออยากโต้แย้งพวกเขา เธอเชื่อมั่นในกงล้อแห่งความยุติธรรม และเธอรู้ว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะปรากฏ
“พวกเจ้าขี้โกหก” ไอดานพูดในขณะกำลังเดินอยู่ข้างเธอ และยังคงตัวสั่นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “พวกเจ้าก็รู้ว่าไคร่าเป็นคนฆ่าหมูป่า”
แบรนดอนชำเลืองข้ามไหล่ของเขาอย่างเย้ยหยัน ราวกับว่าไอดานเป็นเพียงแมลง
“เจ้าจะไปรู้อะไร?” เขาถามไอดาน “เจ้ามัวแต่ฉี่รดกางเกงอยู่น่ะสิ”
พวกเขาทั้งคู่หัวเราะ ในขณะที่กำลังเดินไปพร้อมกับการสร้างเรื่องราว
“แล้วเจ้าไม่ได้วิ่งหางจุกตูดหรอกหรือ?” ไคร่าเสริม เธอไม่สามารถทนต่อไปได้อีก
คำพูดของไคร่าทำให้ทั้งคู่เงียบลง เธอน่าจะปล่อยให้สัตว์ร้ายจัดการพวกเขา แต่เธอไม่อยากพูดแบบนั้นออกไป เธอเดินไปอย่างมีความสุข รู้สึกดีที่ได้เป็นคนช่วยชีวิตน้องชายของเธอ นั่นคือความพอใจทั้งหมดที่เธอต้องการ
ไคร่ารู้สึกถึงมือเล็ค ๆ ที่วางลงบนไหล่ของเธอ เธอหันกลับมา ไอดานกำลังยิ้มปลอบใจเธอ เธอรู้สึกมีความสุขที่มีชีวิตรอดกลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ไคร่าสงสัยว่าพวกพี่ชายของเธอจะรู้สึกยินดีเหมือนกันหรือไม่กับสิ่งที่เธอได้ทำลงไปทั้งหมดนี้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาอาจถูกฆ่าไปแล้วก็ได้
ไคร่ามองหมูป่ากระดอนไปมาต่อหน้าขณะเดินไปในแต่ละก้าว เธอทำหน้าตาบูดบึ้ง อยากให้พวกพี่ชายของเธอปล่อยมันไว้อย่างนั้น ในที่ที่มันควรอยู่ มันเป็นสัตว์ต้องสาป ไม่ใช่ของโวลิส และไม่ควรมาอยู่ที่นี่ มันเหมือนดังลางร้าย โดยเฉพาะการนำออกมาจากป่าแห่งหนามในเวลาพลบค่ำของช่วงเหมันต์จันทรา เธอนึกถึงสุภาษิตเก่าที่เคยอ่าน จงอย่าโอ้อวดหลังจากได้รับการละเว้นชีวิต เธอรู้สึกว่าพวกพี่ชายของเธอกำลังท้าทายโชคชะตา พวกเขากำลังนำความมืดกลับไปยังบ้านเกิด เธออดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นการทำให้สิ่งเลวร้ายเข้ามา
เมื่อมาถึงยอดเนินเขา ป้อมปราการที่แวดล้อมไปด้วยมุมมองของภูมิทัศน์อันกว้างขวางก็อยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว ลมหนาวเย็นยะเยือก หิมะกำลังตกหนัก แต่ไคร่ากลับรู้สึกผ่อนคลายที่ได้กลับมาบ้าน ควันจาง ๆ ลอยออกมาจากปล่องไฟ พร้อมกับชานเมืองและป้อมปราการของพ่อที่ส่องสว่างเรืองรองด้วยแสงไฟ เพื่อการอารักขาในยามค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง ถนนเริ่มกว้างขึ้น เมื่อใกล้ถึงสะพาน พวกเขาทั้งหมดรีบเร่งฝีเท้า ถนนเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังกระตือรือร้น เตรียมพร้อมสำหรับงานเทศกาล แม้ว่าอากาศจะไม่เอื้ออำนวยและใกล้มืด
ไคร่าไม่ค่อยจะแปลกใจกับภาพที่เห็นมากนัก เทศกาลเหมันต์จันทราถือเป็นหนึ่งในวันหยุดที่สำคัญที่สุดแห่งปี และทุกคนต่างวุ่นอยู่กับการเตรียมงานฉลองที่ใกล้จะมาถึง ผู้คนจำนวนมากเดินอยู่บนสะพาน เร่งรีบซื้อของจากร้านค้า เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลอง ในขณะที่กลุ่มคนจำนวนพอ ๆ กันกำลังเดินออกจากประตู รีบพาของกลับบ้านเพื่อไปฉลองกับครอบครัว รถลากวัวและรถขนสินค้าสวนกันขวักไขว่ อิฐและหินถูกลำเลียงไปยังกำแพงใหม่ที่กำลังสร้างอยู่เพื่อล้อมรอบป้อมปราการ เสียงของค้อนดังกังวานไปทั่ว คั่นจังหวะด้วยเสียงของสัตว์เลี้ยงและสุนัข ไคร่าสงสัยว่าพวกเขายังคงทำงานได้อย่างไรภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ มือของพวกเขาไม่เหน็บชาหรืออย่างไร
เมื่อพวกเขาเข้าสู่สะพาน และรวมตัวกับฝูงชน ไคร่าเงยหน้าขึ้นมอง ท้องของเธอขมวดแน่นเมื่อเห็นคนของลอร์ดหลายคนยืนอยู่ที่ประตู ทหารของผู้ว่าการที่ถูกแต่งตั้งโดยแพนดีเซีย พวกเขาสวมเสื้อเกราะสีแดงอันโดดเด่น เธอรู้สึกไม่พอใจทันทีที่มองเห็น รู้สึกขุ่นเคืองเช่นเดียวกับคนทั้งหมดของเธอ การมาของทหารของลอร์ดไม่ต่างอะไรกับการกดขี่ และยิ่งในช่วงเหมันต์จันทรา เมื่อพวกเขามาเยือนที่นี่ พวกเขาสามารถเรียกร้องทุกสิ่งที่ต้องการจากผู้คนของเธอ พวกเขาอันธพาล เหมือนแร้งที่รุมทึ้งซากสัตว์ พวกเขาเป็นขุนนางที่น่ารังเกียจ แต่งตั้งตัวเองขึ้นมามีอำนาจ นับตั้งแต่การรุกรานของเเพนดีเซีย
ต้องโทษความอ่อนแอของพระราชาองค์ก่อนที่ยอมจำนนต่อพวกเขา ความอับอายครั้งนั้นทำให้พวกเราต้องทำตามคนเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ไคร่ารู้สึกโกรธ พ่อของเธอผู้เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม และผู้คนทั้งหมด ไม่ต่างอะไรกับทาสรับใช้ เธออยากให้ทุกคนลุกขึ้นสู้เพื่ออิสรภาพของพวกเขา เผชิญหน้ากับสงครามที่พระราชาองค์ก่อนหวาดกลัว แต่ก็คงไม่มีหวัง เพราะไคร่ารู้ดีว่าหากพวกเขาลุกขึ้นสู้ตอนนี้ พวกเขาจะต้องพบกับพลังอำนาจของกองทัพแพนดิเซีย บางทีพวกเขาอาจจะยับยั้งแพนดิเซียไว้ได้ ถ้าไม่เคยปล่อยให้พวกมันเข้ามา แต่ตอนนี้พวกมันเข้ามาในฐานที่มั่นแล้ว พวกเขาจึงมีตัวเลือกไม่มาก
เมื่อเดินมาถึงสะพาน ผู้คนในฝูงชนต่างหยุดดู จ้องมอง และชี้มาที่หมูป่า ไคร่ารู้สึกพอใจเล็กน้อยที่เห็นพี่ชายของเธอเหงื่อแตกกับการแบกหมูป่ามา หอบฮืดฮาดอย่างเหนื่อยล้า เมื่อพวกเขาเดินผ่านไป ทุกคนหันมองตามและอ้าปากค้าง ไม่ว่าจะคนทั่วไปและนักรบ ทั้งหมดต่างรู้สึกตกตะลึงที่เห็นสัตว์ร้ายตัวใหญ่มหึมา เธอสังเกตเห็นแววตาบางคู่ที่แฝงด้วยความสงสัย บางคนกำลังสงสัยเหมือนอย่างที่เธอคิด ว่านี่จะเป็นลางร้ายหรือไม่
สายตาทุกคู่มองมาที่พี่ชายของเธอด้วยความภูมิใจ
“เป็นการล่าที่ดีสำหรับงานเทศกาล” ชาวนาตะโกนบอก ในขณะที่เดินจูงวัวของเขาเข้ามา
แบรนดอนและแบรกซ์ตันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“นั่นจะทำให้คนของพ่อเจ้าอิ่มกันครึ่งบ้านเลยทีเดียว!” คนแล่เนื้อตะโกนออกมา
“พวกเจ้าจัดการมันได้อย่างไร?” คนทำอานม้าถาม
พี่น้องทั้งสองมองหน้ากัน แล้วแบรนดอนก็ยิ้มตอบไป
“ท่วงท่าการขว้างที่ดีและไร้ซึ่งความกลัว” เขาตอบอย่างกล้าหาญ
“ถ้าเจ้าไม่ออกไปเสี่ยงภัยในป่า” แบรกซ์ตันเสริม “เจ้าก็ไม่มีทางรู้ว่าจะพบกับอะไรบ้าง”
บางส่วนส่งเสียงเชียร์และปรบมือแก่พวกเขา แม้ว่าไคร่าจะรู้อยู่แก่ใจ แต่เธอก็ต้องห้ามปากตัวเองไว้ เพราะเธอไม่ต้องการความเห็นชอบของผู้คนเหล่านี้ เธอรู้ในสิ่งที่เธอได้ทำ
“พวกเขาไม่ได้สังหารหมูป่า!” ไอดานตะโกนออกมา
“เจ้าน่ะหุบปากซะ” แบรนดอนหันมาและส่งเสียงขู่ “ถ้ายังไม่หยุด ข้าจะบอกทุกคนว่าเจ้าฉี่รดกางเกงตอนที่หมูป่าพุ่งเข้าใส่”
“แต่ข้าไม่ได้ทำ!” ไอดานค้าน
“คิดว่าพวกเขาจะเชื่อเจ้าหรือ?” แบร็กซ์ตันเสริม
แบรนดอนและแบรกซ์ตันต่างพากันหัวเราะ ไอดานมองมาที่ไคร่า ราวกับต้องการรู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไร
ไคร่าส่ายหัว
“อย่าเสียเวลาเลย” เธอพูดกับเขา “ความจริงย่อมปรากฏ”
ความหนาแน่นของฝูงชนเพิ่มมากขึ้นเมื่อพวกเขาข้ามสะพานเข้ามา ผู้คนมากมายเดินไหล่ชนกันในขณะข้ามคูเมือง ไคร่ารับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นท่ามกลางบรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า คบไฟถูกจุดขึ้นตามแนวสะพาน หิมะตกหนักมากขึ้น เธอมองไปยังเบื้องหน้า หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นทุกครั้ง ประตูหินโค้งขนาดมหึมาที่มุ่งสู่ป้อมปราการได้รับการคุ้มกันโดยคนของพ่อ ด้านบนเป็นเหล็กแหลมของประตูปิดที่ถูกยกให้สูงขึ้น ปลายเหล็กนั้นหนาและถูกลับจนแหลมคม แข็งแรงพอสำหรับการยับยั้งศัตรู พร้อมที่จะปิดลงตลอดเวลาเมื่อได้ยินเสียงแตร ประตูเข้าออกนี้สูงสามสิบฟุต ข้างบนเป็นพื้นเรียบที่แผ่ขยายไปทั่วป้อมปราการ ใบเสมาขนาดกว้างบนกำแพงที่ทำจากหินมีคนเฝ้าประจำการอยู่ เพื่อดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โวลิสเป็นป้อมปราการชั้นเลิศ ไคร่ามักจะคิดเช่นนี้เสมอ เธอรู้สึกภูมิใจมากยิ่งขึ้นเมื่อกองกำลังของพ่อที่อยู่ภายใน เหล่านักรบชั้นยอดของเอสคาลอนจำนวนมาก ค่อย ๆ กลับมารวมตัวกัน หลังจากกระจัดกระจายกันไป นับตั้งแต่การยอมแพ้ของพระราชาองค์ก่อน มันเหมือนการดึงดูดกลับสู่แม่เหล็ก กลับมาหาพ่อของเธอ หลายครั้งที่เธอคอยรบเร้าให้พ่อประกาศตัวเองเป็นพระราชาองค์ใหม่ เช่นเดียวกับที่ผู้คนต่างต้องการ แต่พ่อเพียงแค่ส่ายหัวและพูดว่ามันไม่ใช่วิถีของเขา
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ประตู คนของพ่อเธอจำนวนหนึ่งควบม้าพุ่งออกมา ผู้คนต่างหลีกทางให้ พวกเขากำลังออกไปยังสนามซ้อมรบ คันดินทรงกลมในสนามนอกป้อมที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินเตี้ย ๆ ไคร่าหันมองตาม หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น สนามซ้อมรบคือสถานที่ที่เธอชอบมากที่สุด เธอสามารถนั่งมองพวกเขาฝึกซ้อมได้หลายชั่วโมง คอยศึกษาทุกการเคลื่อนไหว วิธีการขี่ม้า วิธีการชักดาบ การเขวี้ยงหอกและการเหวี่ยงลูกตุ้ม คนเหล่านี้ขี่ม้าออกไปฝึกซ้อมแม้ว่าจะใกล้ค่ำและหิมะตกหนัก แม้แต่วันก่อนวันหยุดเฉลิมฉลอง เพราะพวกเขาต้องการที่จะฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น พวกเขาต้องการอยู่ในสมรภูมิมากกว่ากินเลี้ยงอยู่ในที่ร่ม เช่นเดียวกับเธอ เธอรู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้คือคนของเธออย่างแท้จริง
คนของพ่อเธออีกกลุ่มเดินเท้าออกมา ในขณะที่ไคร่าเข้าใกล้ประตูพร้อมกับพี่น้องของเธอ คนเหล่านี้หลบออกไปด้านข้าง สร้างทางเดินให้กับแบรนดอนและแบร็กซ์ตันพร้อมหมูป่า พวกเขาผิวปากอย่างชื่นชมและกรูกันเข้ามารอบ ๆ ผู้ชายตัวโตกล้ามใหญ่ร่างสูง สูงกว่าพี่ชายทั้งสองของเธอ พวกเขาส่วนใหญ่มีหนวดเคราสีดำและสีเทา พวกผู้ชายที่ดูเจนโลกเหล่านี้มีอายุราวสามสิบถึงสี่สิบปี พวกเขาเห็นสงครามมานักต่อนัก ผู้ซึ่งเคยรับใช้พระราชาองค์ก่อนและต้องทนทรมานกับความอัปยศจากการยอมจำนนของเขา ผู้ชายซึ่งไม่คิดที่จะยอมสยบต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง พวกเขาผ่านเรื่องราวมาหลายอย่างและไม่ค่อยยินดีกับอะไรมากนัก แต่พวกเขาดูเหมือนจะเห็นด้วยกับเรื่องหมูป่า
“เจ้าสังหารมันด้วยตัวเองหรือ?” หนึ่งในพวกเขาถามแบรนดอน เข้ามามอวดูใกล้ ๆ
ผู้คนกรูกันเข้ามาเยอะมากขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหยุดเดิน รับการยกย่องและการชื่นชมจากผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ พยายามไม่แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขากำลังหายใจลำบาก
“ใช่แล้ว พวกข้าเป็นคนจัดการ” แบรกซ์ตันตะโกนออกมาอย่างภูมิใจ
“เขาดำ” เสียงอุทานของนักรบอีกคน เดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วใช้มือลูบลงบนหลังหมูป่า “ไม่เคยเห็นมันเลยตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยร่วมสังหารตัวหนึ่ง แต่ข้าอยู่กันเป็นกลุ่ม และสองคนต้องสูญเสียนิ้วของพวกเขา”
“งั้นหรือ เราไม่สูญเสียอะไรเลย” แบร็กซ์ตันตะโกนออกมาอย่างห้าวหาญ “เพียงแค่ปลายหอก”
ไคร่ารู้สึกโกรธที่คนเหล่านี้กำลังหัวเราะ และชื่นชมกับการสังหาร ในเวลาเดียวกัน เอนวิน ผู้นำของนักรบเหล่านี้ ก้าวออกมาข้างหน้าและตรวจสอบการสังหารอย่างใกล้ชิด เหล่านักรบถอยห่าง และหลีกทางให้เขาอย่างเคารพ
เอนวินเป็นผู้บังคับบัญชาของพ่อ เขาคือนักรบคนโปรดของเธอในบรรดาทั้งหมด เขาทำตามคำสั่งของพ่อเท่านั้น เอนวินเป็นผู้นำของนักรบชั้นยอดเหล่านี้ เขาเหมือนกับพ่อคนที่สองของเธอ เธอรู้จักเขามานานตั้งแต่จำความได้ เขารักเธออย่างทะนุถนอม เขาให้ความสำคัญกับเธอเสมอ และมักจะมีเวลาให้เธอ คอยสอนเทคนิคการต่อสู้และการใช้อาวุธที่คนอื่นไม่คิดจะทำ เขาให้เธอมีโอกาสฝึกซ้อมร่วมกับผู้ชายหลายครั้ง เธอสนุกกับทุกอย่าง เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา และยังใจดีกับคนที่เขาชอบ แต่คนที่เขาไม่ชอบ ไคร่ารู้สึกกลัวแทนพวกเขา
เอนวินมีความอดทนน้อยสำหรับเรื่องโกหก เขาคือผู้ชายที่ต้องการรู้ความจริงทั้งหมด แม้ว่ามันจะไม่น่าฟังก็ตาม เขามีสายตาเฉียบคม เอนวินตรวจสอบหมูป่าอย่างใกล้ชิด เขาพิจารณารอยธนูทั้งสอง เขามองดูอย่างละเอียด ถ้าจะมีใครสามารถรับรู้ถึงความจริง คน ๆ นั้นก็คงเป็นเขา
เอนวินตรวจสอบสองบาดแผล เขาสังเกตเห็นหัวธนูขนาดเล็กที่ยังคงปักอยู่ข้างใน ชิ้นส่วนของไม้ถูกพี่ชายของเธอหักออก พวกเขาดึงออกเกือบสุด จึงไม่มีใครเห็นสิ่งที่ใช้สังหารหมูป่า แต่เอนวินไม่ใช่ใครคนอื่น
ไคร่ามองดูเอนวินศึกษาบาดแผล เขาหรี่ตาลง เหมือนใกล้ได้ข้อสรุป เอนวินถอดถุงมือออก เอื้อมลงไปที่ตาของหมูป่า และดึงหนึ่งในหัวธนูออกมา เขาชูมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้น และหันไปหาพี่ชายของเธอช้า ๆ ด้วยสีหน้าสงสัย
“รูจากหอกงั้นหรือ?” เขาถามอย่างไม่พอใจ
ความเงียบอันตึงเครียดก่อตัวขึ้น แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูประสาทเสียเป็นครั้งแรก ยืนบ่ายเบี่ยงอยู่กับที่
เอนวินหันมาหาไคร่า
“หรือมันคือหัวธนู?” เขาพูดต่อ ไคร่าสามารถมองเห็นความคิดที่กำลังแล่นในหัวของเขา เขากำลังจะได้ข้อสรุป
เอนวินเดินมาที่ไคร่า ดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกของเธอ และเทียบหัวธนูทั้งสองเพื่อให้คนอื่นเห็น มันมีลักษณะเหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด เขามองมาที่ไคร่าอย่างภูมิใจ ดูมีความหมาย ไคร่ารู้สึกว่าสายตาทั้งหมดจ้องมาที่เธอ
“ฝีมือของเจ้าไม่ใช่รึ?” เขาถามเธอ ดูเหมือนเป็นการประกาศมากกว่าคำถาม
เธอพยักหน้ากลับไป
“ใช่” เธอตอบอย่างเรียบง่าย เธอชอบเอนวินที่ให้การยอมรับและปกป้องเธอ
“และเป็นการยิงโค่นหมูป่า” เขาสรุป เสียงของเขาหนักแน่น
“ข้าไม่เห็นบาดแผลอื่นนอกจากสองแห่งนี้” เขาเสริม พลางลูบมือไปทั่วตัวของหมูป่า เขาหยุดมืออยู่ที่หู ตรวจสอบดู หันกลับมา มองไปที่แบรนดอนและแบร็กซ์ตันอย่างเหยีดหยัน “เว้นแต่เจ้าจะเรียกรอยข่วนจากคมหอกนี้ว่าบาดแผล”
เขาชูหูของหมูป่าขึ้นมา แบรนดอนและแบร็กซ์ตันหน้าแดงก่ำในขณะที่กลุ่มนักรบหัวเราะ
นับรบที่มีชื่อเสียงอีกคนของพ่อก้าวเท้าออกมาข้างหน้า เขาคือไวดาร์ เขาเป็นเพื่อนสนิทของเอนวิน ชายหนุ่มอายุราวสามสิบ รูปร่างเตี้ย ผอมบาง พร้อมใบหน้าซูบซีด และรอยแผลเป็นทั่วจมูกของเขา ไวดาร์แข็งแกร่งดั่งหิน เขามีชื่อเสียงด้านการต่อสู้มือเปล่า เขาคือผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไคร่าเคยพบ เขาสามารถล้มคนร่างยักษ์สองคนที่มีรูปร่างใหญ่กว่าสองเท่า ขนาดตัวของเขาทำให้ผู้ชายหลายต่อหลายคนคิดผิดเมื่อเผชิญหน้ากัน พวกเขาต่างได้บทเรียนจากการเจ็บตัว ไวดาร์ยังเป็นคนที่คอยดูแลไคร่า และคุ้มครองเธอ
“ดูเหมือนพวกเขาจะพลาด” ไวดาร์สรุป “เด็กผู้หญิงช่วยเขาเอาไว้ ใครสอนเจ้าทั้งสองให้ขว้าง?”
แบรนดอนและแบร็กซ์ตันดูเคร่งเครียดมากขึ้น พวกเขาถูกจับได้ว่าโกหก และไม่พูดคำใด ๆ ออกมา
“การโกหกเกี่ยวกับการสังหาร ถือเป็นเรื่องร้ายแรง” เอนวินพูดอย่างเคร่งขรึม เขาหันกลับที่พี่ชายของเธอ “บอกความจริงมา พ่อของพวกเจ้าต้องการให้พูดความจริง”
แบรนดอนและแบร็กซ์ตันยืนนิ่ง ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขามองหน้ากัน กำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป พวกเขาอ้ำอึ้งพูดไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่ไคร่าเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้น เสียงของคนนอกได้ดังข้ามผ่านฝูงชน
“ไม่สำคัญว่าใครเป็นคนสังหาร” เสียงหนึ่งพูดออกมา “ตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว”
ไคร่าหันกลับไปมองพร้อมกับคนอื่น ๆ ตกใจกับน้ำเสียงที่หยาบกร้าน และไม่คุ้นเคย เธอรู้สึกเคว้งคว้างในท้อง เมื่อเธอเห็นกลุ่มคนของลอร์ด โดดเด่นอยู่ในชุดเกราะสีแดง พวกเขากำลังเดินฝ่าฝูงชน ชาวบ้านต่างหลีกทางให้ พวกเขาเดินเข้ามาใกล้หมูป่าและมองอย่างละโมบ ไคร่ารับรู้ได้ว่าพวกเขาต้องการอนุสรณ์แห่งการสังหารนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากได้ แต่มันคือวิธีการระรานคนของเธอ เพียงเพื่อแย่งความภาคภูมิใจไปจากพวกเขา เลโอขู่คำรามอยู่ข้างเธอ เธอวางมือลงบนคอเพื่อให้มันถอยออกไป
“ในนามของท่านลอร์ดผู้ว่า” คนของลอร์ดพูด ทหารร่างท้วม คิ้วต่ำหนา พุงโต และใบหน้าโง่เขลา “เราขออ้างสิทธิ์ในหมูป่าตัวนี้ เขาขอขอบคุณล่วงหน้ากับของขวัญของพวกเจ้าสำหรับเทศกาลวันหยุด”
เขาชี้นิ้วไปที่คนของเขา พวกเขาก้าวออกมาข้างหน้า กำลังจะคว้าหมูป่า
เมื่อพวกเขาจะทำเช่นนั้น เอนวินก้าวออกมาข้างหน้าทันทีเพื่อขวางพวกเขาไว้ โดยมีไวดาร์อยู่ข้างกาย
ความเงียบงันปกคลุมฝูงชนอีกครั้ง ไม่เคยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับทหารของลอร์ด แม้ว่าไม่ได้เป็นกฎที่เขียนเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครต้องการจุดชนวนความโกรธของแพนดีเซีย
“ข้าสามารถบอกได้ว่า ไม่มีใครเสนอรางวัลให้พวกเจ้า” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดุจเหล็กกล้า “หรือท่านลอร์ดผู้ว่าของเจ้า”
ผู้คนต่างรวมตัวกันเพื่อดูการเผชิญหน้าอันดุเดือดนี้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ถอยห่างออกไป เพื่อสร้างพื้นที่สำหรับคนสองคน บรรยากาศแห่งความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้น
ไคร่ารับรู้ได้ถึงเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นรัว เธอจับธนูในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เหตุการณ์กำลังจะบานปลาย มากพอที่จะทำให้เธอต้องการสู้ เธอต้องการอิสรภาพ เธอรู้ว่าคนของเธอไม่ควรทำให้ลอร์ดผู้ว่าโกรธ เพราะพวกเธอคงไม่อาจรับมือได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์บางอย่างที่ช่วยทำให้สามารถจัดการได้ จักรวรรดิแพนดีเซียคอยหนุนหลังพวกเขาอยู่ พวกเขาสามารถสั่งกองกำลังขนาดใหญ่เทียบเท่าผืนทะเล
ในขณะเดียวกันไคร่ากลับรู้สึกภูมิใจที่เอนวินออกมาแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ในที่สุดก็มีคนที่กล้าทำเช่นนี้
ทหารจ้องมองเอนวินอย่างไม่พอใจ
“เจ้ากล้าปฏิเสธท่านลอร์ดผู้ว่าของเรางั้นหรือ?” เขาถาม
เอนวินยังคงยืนกราน
“หมูป่าตัวนี้เป็นของเรา ไม่มีใครมอบมันให้พวกเจ้า” เอนวินพูด
“มันเคยเป็นของพวกเจ้า” ทหารแก้คำพูด “และตอนนี้มันเป็นของพวกเราแล้ว” เขาหันหลังกลับ “เอาหมูป่าไป” เขาสั่งการ
ทหารของลอร์ดเดินข้ามา ทันใดนั้นกลุ่มทหารของพ่อไคร่าก้าวเท้าออกมาข้างหน้า หนุนหลังเอนวินและไวดาร์ ขวางทางทหารของลอร์ด ต่างเตรียมพร้อมกับอาวุธของพวกเขา
ความตึงเครียดมาคุมากขึ้น ไคร่าจับธนูแน่นจนกำปั้นของเธอกลายเป็นสีขาว เธอรู้สึกแย่ในขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอคิดว่าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ การสังหารหมูป่าของเธอ เธอสังหรณ์ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอไม่พอใจพี่ชายของเธอที่นำลางร้ายนี้เข้ามายังหมู่บ้านของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนแห่งเหมันต์จันทรา ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานว่าเรื่องประหลาดมักเกิดขึ้นในวันหยุด ช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อความตายสามารถข้ามภพจากอีกโลกหนึ่ง ทำไมพี่ของเธอต้องท้าทายวิญญาณด้วยวิธีนี้?
เมื่อเหล่าทหารเผชิญหน้ากัน ทหารของพ่อเตรียมพร้อมที่จะชักดาบออกมา ทั้งหมดกำลังจะละเลงเลือด ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทำลายความเงียบงัน
“การสังหารนี้เป็นของเด็กผู้หญิง” เสียงดังกล่าวพูด
มันเป็นเสียงที่ดังมาก เต็มไปด้วยความมั่นใจ เสียงของคำสั่งการ เสียงที่ไคร่านับถือและเคารพมากกว่าใครในโลกนี้ พ่อของเธอ ผู้บัญชาการดันแคน
สายตาทั้งหมดหันไป พ่อของเธอเดินใกล้เข้ามา ฝูงชนต่างหลีกทางให้อย่างเคารพยกย่อง เขายืนอยู่ที่นั่น ชายรูปร่างใหญ่ดุจภูเขา สูงกว่าคนอื่นสองเท่า และไหล่ที่กว้างกว่าคนทั่วไปสองเท่า เคราของเขาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลยาวสลับกับสีเทา สวมขนสัตว์ไว้บนบ่า แบกดาบยาวสองเล่มบนเข็มขัด พร้อมหอกไขว้ที่หลัง สวมเกราะสีดำของโวลิสที่มีรูปสลักมังกรอยู่บนอก แสดงถึงสัญลักษณ์ของกลุ่ม อาวุธของเขาเต็มไปด้วยรอยบากและรอยขูดขีด อันเกิดจากประสบการณ์และการต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วน เขาคือชายที่น่าเกรงกลัว ชายที่น่ายกย่อง ชายผู้มีความเที่ยงธรรม เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นชายที่รักและเคารพนับถือ
“มันคือการสังหารของไคร่า” เขาพูดย้ำ มองไปยังพี่ชายของเธอด้วยความผิดหวัง แล้วหันกลับมามองไคร่า โดยไม่สนใจทหารของลอร์ด “ไคร่าจะเป็นคนตัดสินชะตาของมัน”
ไคร่ารู้สึกตกใจกับคำพูดของพ่ออย่างยิ่ง เธอไม่คิดว่ากลายจะเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อจะผลักความรับผิดชอบให้มาอยู่ในมือของเธอ การปล่อยให้เธอทำการตัดสินใจอันหนักอึ้ง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจแค่เรื่องหมูป่า พวกเขาต่างรู้ดี แต่มันคือการตัดสินใจที่เกี่ยวกับชะตากรรมของทุกคนที่อยู่ภายใต้ป้อมปราการแห่งนี้
ทหารต่างยืนเรียงแถวอย่างดุดันคนละฝั่ง ทั้งหมดถือดาบอยู่ในมือ เธอมองดูพวกเขา ทุกคนมองมาที่เธอ รอการตัดสินใจจากเธอ เธอตระหนึกถึงสิ่งที่ต้องเลือก คำที่กำลังจะเอ่ย เพราะมันจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเธอ