Читать книгу กำเนิดความกล้าหาญ - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 17

บทที่ห้า

Оглавление

ดันแคนควบม้าไปพร้อมกับกองทัพ เสียงม้าจำนวนนับร้อยดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เขานำกองกำลังมุ่งลงใต้ ออกมาห่างจากอาร์โกส์ เอนวินและอาร์ทฟอล ทหารที่ดันแคนไว้วางใจกำลังอยู่เคียงข้างเขา ส่วนวิดาร์ยังอยู่ที่ฐานเพื่อปกป้องโวลิส ทหารนับร้อยเรียงแถวขึ้นมา ทั้งหมดควบม้าออกไปด้วยกัน ดันแคนไม่เหมือนขุนศึกคนอื่น เขาชอบขี่ม้าไปพร้อมกับทหาร เขาไม่เคยมองทหารเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งของ แต่ทั้งหมดคือสหายร่วมรบของเขา

พวกเขาควบม้าไปในยามค่ำคืน ลมหนาวพัดโชยมา พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยหิมะ พวกเขารู้สึกดีที่ได้วิ่งไปสู่สงครามโดยไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอย่างขี้ขลาดอยู่หลังกำแพงโวลิสอีกต่อไป ซึ่งดันแคนทำแบบนั้นมาครึ่งค่อนชีวิต ดันแคนมองดูลูกชายของเขา แบรนดอนและแบรกซ์ตันขี่ม้าอยู่เคียงข้างทหาร เขาภูมิใจที่ลูกชายของเขามาร่วมรบด้วย ลึกลงไปในใจดันแคนยังคงเป็นห่วงไคร่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไป เขาบอกตัวเองเสมอว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ค่ำคืนเช่นนี้ดันแคนกลับคิดถึงเรื่องร้าย ๆ เกี่ยวกับไคร่า

ดันแคนสงสัยว่าตอนนี้ไคร่าอยู่ที่ไหน เขานึกถึงการเดินทางข้ามเอสคาลอนโดยลำพังของเธอ ซึ่งมีเพียงเดียร์ดรี แอนดอร์และลีโอเท่านั้น ดันแคนรู้ว่าการส่งไคร่าเข้าสู่การเดินทางแบบนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแม้แต่นักรบที่เจนศึก หากไคร่ารอดมาได้ เธอจะกลายเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมมากกว่าทหารไหนที่อยู่เคียงข้างเขาทุกวันนี้ แต่ถ้าไคร่าไม่สามารถทำได้ ดันแคนจะไม่สามารถชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเป็นการเรียกบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ เขาต้องการให้ไคร่าทำภารกิจได้สำเร็จมากกว่าสิ่งใด

กองทัพเดินทางขึ้นและลงจากเนินเขา ดันแคนมองออกไปยังทุ่งราบที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าภายใต้แสงจันทร์ เขานึกถึงปลายทางที่เอสเฟส ฐานที่มั่นทางทะเล เมืองที่สร้างขึ้นบนท่าเรือ เป็นเส้นทางตัดกันของทิศตะวันออกเฉียงเหนือและท่าเรือ ซึ่งมีความสำคัญอันดับหนึ่งในการขนถ่ายสินค้าทั้งหมด มันคือเมืองที่ติดกับทะเลแห่งหยดน้ำตาด้านหนึ่งและอีกด้านติดกับท่าเรือ กล่าวกันว่าใครก็ตามที่ควบคุมเอสเฟสได้ถือว่าควบคุมครึ่งหนึ่งของเอสคาลอน ป้อมปราการที่ใกล้ที่สุดกับอาร์โกส์และฐานที่มั่นสำคัญ เอสเฟสจะเป็นเป้าหมายแรกของเขา ดันแคนรู้ดีว่าหากเขาต้องปลุกระดมการปฏิวัติ เมืองที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดจะต้องได้รับการปลดปล่อยเสียก่อน ครั้งหนึ่งท่าเรือแห่งนี้เคยเต็มไปด้วยเรือที่มีธงของเอสคาลอนโบกสะบัด แต่บัดนี้เต็มไปด้วยเรือของแพนดิเซีย นับเป็นสิ่งเตือนใจว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเช่นไร

ดันแคนและซีวิกผู้เป็นขุนศึกแห่งเอสเฟส เคยมีความใกล้ชิดกัน พวกเขาทะยานเข้าสู่สนามรบในฐานะสหายศึกนับครั้งไม่ถ้วน ดันแคนเคยออกทะเลไปกับเขามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่หลังจากการรุกราน พวกเขาขาดการติดต่อกัน ขุนศึกซีวิกซึ่งเคยสง่างาม บัดนี้เป็นเพียงทหารธรรมดา ไม่สามารถออกแล่นเรือได้อีก ไม่สามารถปกครองเมืองของเขาหรือไปเยือนฐานที่มั่นอื่นได้เหมือนเช่นขุนศึกคนอื่น ๆ พวกเขาเหมือนถูกคุมขังและตีตราว่าเขาคือนักโทษเหมือนเช่นขุนศึกคนอื่น ๆ ของเอสคาลอน

ดันแคนควบม้าต่อไปภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด แนวเขามีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงของทหารจำนวนนับร้อยที่มุ่งหน้าไปทางใต้ หิมะเริ่มตกหนักมากขึ้นและลมเริ่มพัดแรง คบเพลิงดูเหมือนต้องพยายามต่อสู้กับสายลม ดังเช่นแสงจันทร์ที่พยายามสาดส่องลงมาผ่านก้อนเมฆ กองทัพของดันแคนยังคงมุ่งหน้าต่อไป ทหารเหล่านี้บุกตะลุยไปทุกพื้นที่ ดันแคนรู้ดีเกี่ยวกับการโจมตียามค่ำคืนที่มีหิมะตก – ดันแคนเป็นนักรบที่ไม่เหมือนใคร มันคือสิ่งที่ทำให้เขานำกองกำลัง สิ่งที่เขาได้รับจากการเป็นผู้บังคับบัญชาของพระราชาองค์เก่า ทำให้เขามีฐานที่มั่นเป็นของตัวเอง และมันคือสิ่งที่ทำให้เขาคือหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าขุนศึกที่แตกระแหงไป ดันแคนไม่เคยทำสิ่งที่คนอื่นทำ มันคือคติที่เขาถือมาตลอดชีวิต เขามักทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิด

แพนดิเซียต้องคาดไม่ถึงกับการโจมตี เมื่อคำประกาศการปฏิวัติของดันแคนยังไม่กระจายไกลออกไปยังทิศใต้ – ดันแคนหวังว่าจะดำเนินการได้ทันเวลา แพนดิเซียจะไม่มีทางคาดคิดกับการลอบโจมตีตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่หิมะกำลังตก พวกเขารู้ว่าการขี่ม้าตอนกลางคืนมีความเสี่ยง ม้าอาจขาหักได้ และยังมีปัญหาอีกนับไม่ถ้วน ดันแคนรู้ดีว่าสงครามสามารถเอาชนะได้ด้วยความประหลาดใจและความเร็วมากกว่าการใช้กำลังเพียงอย่างเดียว

ดันแคนวางแผนที่จะขี่ม้าทั้งคืนจนไปถึงเอสเฟส เพื่อพยายามพิชิตกองกำลังแพนดิเซียขนาดใหญ่และยึดเมืองที่ยอดเยี่ยมกลับมาด้วยทหารไปกี่ร้อยนายของเขา หากว่าเขาสามารถยึดเอสเฟสกลับมาได้ บางทีเขาอาจชิงความได้เปรียบและเริ่มสงครามเพื่อยึดคืนเอสคาลอนทั้งหมดกลับมา

“ข้างล่างนั่น!” เอนวินตะโกนออกมา และชี้ไปในหิมะ

ดันแคนมองลงไปที่หุบเขาด้านล่าง เขาสังเกตเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตามแนวชนบทมากมายที่อยู่ท่ามกลางหิมะและสายหมอก ดันแคนรู้ดีว่าหมู่บ้านเหล่านั้นเคยเป็นที่พักอาศัยของนักรบผู้กล้าหาญที่ภักดีต่อเอสคาลอน ซึ่งมีอยู่เพียงหยิบมือหนึ่ง แต่มันสามารถช่วยได้ เขาสามารถชิงความได้เปรียบและหาการหนุนทัพทหาร

ดันแคนตะโกนเสียงดังเหนือลมเพื่อให้ได้ยิน

“ส่งเสียแตร!”

ทหารส่งเสียงแตรออกมาสั้น ๆ มันเป็นเสียงปลุกระดมอันเก่าแก่ของเอสคาลอน เสียงนี้ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา เสียงที่ไม่เคยได้ยินในเอสคาลอนมานานหลายปี มันคือเสียงที่คุ้นเคยสำหรับเพื่อนทหารชนบท เสียงที่จะบอกพวกเขาในสิ่งที่เขาต้องการรู้ทั้งหมด หากว่าในหมู่บ้านยังมีซึ่งคนดี เสียงนี้จะปลุกพวกเขา

เสียงแตรดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ แสงไฟในหมู่บ้านค่อย ๆ สว่างขึ้นมา ชาวบ้านตื่นตัวต่อการมาเยือนของพวกเขาและเริ่มออกมาที่ถนน คบเพลิงของพวกเขาส่องแสงริบหรี่ท่ามกลางหิมะ พวกผู้ชายต่างเร่งรีบแต่งตัว คว้าอาวุธและสวมชุดเกราะที่พวกเขามี ทั้งหมดจ้องมองไปที่เนินเขาและเห็นว่าดันแคนกับทหารของเขากำลังใกล้เข้ามา ทั้งหมดต่างพากันสงสัย ดันแคนนึกถึงสิ่งที่กองทัพของเขากำลังทำอยู่ การควบม้าท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดในพายุหิมะ และชูคบเพลิงนับร้อยเหมือนเช่นกองทัพแห่งเปลวเพลิงที่ต่อสู้กับหิมะ

ดันแคนและทหารขี่ม้าเข้าไปในหมู่บ้านแรกและหยุดลง คบเพลิงนับร้อยเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่ตกใจกลัว ดันแคนมองลงไปยังใบหน้าที่มีความหวังและพร้อมรบ เขากำลังปลุกระดมผู้คนอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน

“ชาวเอสคาลอน!” เขาป่าวประกาศก้อง เริ่มควบม้าวนไปมารอบ ๆ อย่างช้า ๆ ดันแคนพยายามทักทายพวกเขา ขณะที่เหล่าชาวบ้านเดินเข้ามารวมตัวกัน

“เราทนทรมานภายใต้การกดขี่ของแพนดิเซียมานานเกินไปแล้ว! พวกเจ้าสามารถเลือกว่าอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตในหมู่บ้านนี้และนึกถึงว่าครั้งหนึ่งเอสคาลอนเคยเป็นอย่างไร หรือเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ในฐานะเสรีชน และช่วยพวกเราเริ่มสงครามครั้งยิ่งใหญ่เพื่ออิสรภาพ!”

พวกชาวบ้านต่างรู้สึกมีกำลังดีใจ

“พวกแพนดิเซียจับลูกสาวของพวกเราไป!” ชายคนหนึ่งตะโกนออกมา “เราต้องการอิสรภาพ เราต้องการความเป็นไท!”

ชาวบ้านพากันส่งเสียงร้อง

“พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน ดันแคน!” อีกคนตะโกนออกมา “เราจะติดตามท่านไปจนตัวตาย!”

เสียงกู่ร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งเข้ามารวมตัวกับพวกทหาร ดันแคนรู้สึกพอใจกับจำนวนกำลังพลที่เพิ่มขึ้น เขาเตะม้าและเดินทางออกจากหมู่บ้าน หนทางปลดปล่อยเอสคาลอนได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงอีกหมู่บ้าน ชาวบ้านออกมาข้างนอกและยืนรออยู่ แสงสว่างจากคบเพลิงและเสียงแตรได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี กองทัพมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านในพื้นที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่างตะโกนเรียกกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ดันแคนเดินทางผ่านทุกหมู่บ้านจนไปถึงหมู่บ้านสุดท้าย เขาไม่จำเป็นต้องโน้มน้าว ชาวบ้านเหล่านี้กระหายซึ่งอิสรภาพ พวกเขาต้องการฟื้นฟูเกียรติยศ เพื่อขึ้นขี่ม้า คว้าอาวุธ และเข้าร่วมกับกำลังพลของดันแคนไปทุกที่

ดันแคนได้รับกองกำลังเพิ่มจากทุกหมู่บ้าน ทั้งหมดจุดไฟสว่างท่ามกลางค่ำคืน แม้ว่าจะมีลมแรง หิมะตกหนัก และอยู่ในคืนที่มืดมิด แต่ความปรารถนาแห่งอิสรภาพของพวกเขานั้นแรงกล้า ดันแคนสัมผัสได้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง – พวกเขาต้องการลุกขึ้นจับอาวุธเพื่อแย่งชิงชีวิตของพวกเขากลับมา

*

ดันแคนขี่ม้าไปตลอดคืน นำกองทัพที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมุ่งสู่ทางใต้ เขาจับบังเหียนด้วยมือที่เย็นชาจากลมหนาว ยิ่งพวกเขามุ่งลงใต้ไปมากเท่าไร สภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไป อากาศเย็นของโวลิสถูกแทนที่ด้วยความชื้นของเอสเฟส เหมือนที่ดันแคนจำได้ว่ามันเป็นอย่างไร ความชื้นของน้ำทะเลและกลิ่นเค็มของเกลือ ต้นไม้ที่นี่เตี้ยกว่า ทั้งหมดโค้งงอจากสายลมตะวันออกที่ดูเหมือนจะไม่เคยหยุดพัด

พวกเขาเดินทัพขึ้นเขาลูกแล้วลูกเล่า หิมะยังคงตกอยู่ ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้าที่สาดแสงลงมาเบื้องล่าง เพียงพอสำหรับการนำทางแก่พวกเขา นักรบทั้งหมดควบม้าต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มันคือค่ำคืนที่ดันแคนจะจดจำไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา หากเขารอดชีวิตมาได้ นี่จะเป็นการต่อสู้ที่เดิมพันกับทุกอย่าง เขานึกถึงไคร่า ครอบครัวของเขา บ้านของเขา และเขาไม่ต้องการสูญเสียทุกอย่าง เขายอมเสี่ยงแม้ว่าชีวิตของเขาจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาต้องทำให้สำเร็จเพื่อทุกชีวิตที่เขารู้จักและหวงแหน

ดันแคนมองไปข้างหลังและรู้สึกพอใจที่เห็นว่ามีทหารเพิ่มขึ้นอีกร้อยกว่านาย ทั้งหมดควบม้าเป็นหนึ่งเดียว มุ่งสู่จุดประสงค์เดียวกัน ดันแคนรู้ดีว่าเขามีกำลังพลน้อยกว่ามากและอาจต้องเจอกับกองทัพแพนดิเซียนับพันที่ประจำการอยู่ในเอสเฟส ดันแคนรู้ว่าซีวิกยังคงมีทหารที่ถูกปลดไปหลายร้อยคน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเสี่ยงเข้าร่วมกับดันแคนหรือไม่

ไม่นานนักพวกเขาได้เดินทางขึ้นไปบนภูเขาอีกลูกหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ ที่ด้านล่างนั้นคือทะเลแห่งหยดน้ำตาที่ทอดตัวยาวเหยียด คลื่นซัดสาดบนชายฝั่ง ท่าเรือขนาดใหญ่ เมืองโบราณเอสเฟสตั้งอยู่อย่างโดดเด่น ตัวเมืองถูกสร้างขึ้นในทะเล คลื่นกระทบเข้ากับกำแพงหิน เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นโดยหันหลังให้พื้นดิน เหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับท้องทะเล ประตูและกรงเหล็กจมลงอยู่ในน้ำ ราวกับว่าพวกเขาสนใจเรือมากกว่าม้า

ดันแคนสำรวจดูท่าเรือที่มีเรือจำนวนมากเทียบท่าอยู่อย่างไม่สิ้นสุด เขารู้สึกผิดหวังที่เห็นธงของแพนดิเซียสีเหลืองและฟ้าโบกสะบัดอยู่ ราวกับเป็นการเย้ยหยัน นั่นคือสัญลักษณ์ของแพนดิเซีย – หัวกะโหลกในปากของนกอินทรีย์ – ทำให้ดันแคนรู้สึกแย่ที่มองเห็นเมืองอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ถูกครอบครองโดยแพนดิเซีย ช่างน่าละอายยิ่งนัก แม้ในยามค่ำคืนเช่นนี้แต่แก้มของเขากลับแดงก่ำ เรือที่เทียบท่าอยู่ทอดสมออย่างปลอดภัย โดยไม่คาดคิดถึงการโจมตี แน่นอน ใครจะกล้าโจมตีพวกเขา? โดยเฉพาะในคืนที่มืดมิดและมีพายุหิมะ?

ทุกสายตาของทหารจับจ้องมาที่ดันแคน ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงได้มาถึงแล้ว ทั้งหมดกำลังรอคำสั่งการของเขาอย่างศรัทธา คำสั่งที่จะเปลี่ยนโชคชะตาทั้งหมดของเอสคาลอน ดันแคนนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า สายลมพัดโชยเข้ามา เขารู้สึกได้ว่าโชคชะตากำลังเอ่อล้น นี่คือช่วงเวลาที่จะกำหนดชีวิตของเขา – และชีวิตของทหารเหล่านี้ทั้งหมด

“บุก!” ดันแคนประกาศกร้าว

ทหารของเขาโห่ร้อง ทั้งหมดพุ่งลงเนินเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ควบม้าไปยังท่าเรือที่ห่างออกไปหลายร้อยหลา พวกเขาชูคบเพลิงขึ้นสูง หัวใจของดันแคนกำลังเต้นรัว เขารู้ว่าภารกิจนี้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย – และเขาไม่รู้ว่จะสำเร็จหรือไม่

พวกเขามุ่งลงไปยังชานเมือง ควบม้าอย่างรวดเร็ว อากาศที่แห้งเย็นแทบจะทำให้พวกเขาลืมหายใจ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ท่าเรือ กำแพงหินข้างหน้าอยู่ห่างออกไปอีกประมาณร้อยหลา ดันแคนเตรียมพร้อมเข้าสู่สงคราม

“พลธนู!” เขาตะโกน

พลธนูขี่ม้าเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ จุดไฟที่ปลายลูกธนู และกำลังรอคำสั่ง พวกเขาควบม้าเข้าไปเรื่อย ๆ เสียงฝีเท้าของม้าดังกึกก้อง แพนดิเซียยังคงไม่รู้ว่าการโจมตีกำลังจะมาถึง

ดันแคนรอจนกว่าพวกเขาจะเข้าไปใกล้กว่านี้ – เหลืออีกสี่สิบหลา สามสิบหลา ยี่สิบหลา – ในที่สุดเขาก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว

“ยิง!”

ทันใดนั้นค่ำคืนอันมืดมิดก็ส่องสว่างด้วยธนูไฟนับพันที่ทะยานขึ้นสูงผ่านอากาศ และพุ่งเป้าไปที่เรือของแพนดิเซียนับสิบลำที่จอดทอดสมออยู่ในท่าเรือ แสงไฟดูเหมือนกับหิ่งห้อย ลูกธนูพุ่งไปที่เป้าหมาย นั่นคือกองเรือแพนดิเซียที่กำลังจอดอยู่พร้อมธงที่โบกสะบัด

ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เรือจะถูกเผาไหม้ ใบเรือและเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางท่าเรือที่มีแต่สายลม

“อีกครั้ง!” ดันแคนตะโกน

ทหารระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก ธนูไฟตกลงมาเหมือนสายฝนทั่วกองเรือแพนดิเซีย

กองเรือของแพนดิเซียที่กำลังอยู่อย่างเงียบสงบในยามค่ำคืน เหล่าทหารต่างพากันเข้านอนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดไม่ได้คาดคิด แพนดิเซียช่างโอหังนัก สำราญมากเกินไปที่ไม่นึกถึงการโจมตีเช่นนี้

ดันแคนไม่รอเวลาให้แพนดิเซียระดมพล เขาควบม้าไปข้างหน้าเพื่อใกล้เข้าท่าเรือ เขานำทัพตรงไปยังกำแพงหินที่ติดกับท่าเรือ

“คบเพลิง!” เขาตะโกน

ทหารของเขาพุ่งเข้าไปยังแนวชายฝั่ง ชูคบเพลิงขึ้นสูง และส่งเสียงตะโกนดังสนั่น ทั้งหมดทำตามดันแคน พวกเขาเหวี่ยงคบเพลิงไปยังเรือที่ใกล้ที่สุด คบเพลิงขนาดใหญ่กระแทกเข้าไป เสียงไม้กระทบดังไปทั่ว เรืออีกนับสิบลุกเป็นไฟ

ทหารเวรของแพนดิเซียสังเกตเห็นช้าเกินไปว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาตกอยู่ในทะเลเพลิงเรียบร้อยแล้ว ต่างพากันตะโกนร้องและกระโดดลงจากเรือ

ดันแคนรู้ดีว่าถึงเวลาปลุกส่วนที่เหลือของแพนดิเซีย

“แตร!” เขาตะโกน

เสียงแตรดังขึ้นจากกองกำลังของเขา รูปแบบการปลุกระดมอันเก่าแก่ของเอสคาลอน ดันแคนรู้ว่าซีวิกจะต้องจดจำเสียงนี้ได้

ดันแคนลงจากม้า ชักดาบออกมาและพุ่งไปที่กำแพงท่าเรือ เขากระโดดขึ้นไปบนกำแพงหินโดยไม่ลังเล และขึ้นไปบนเรือที่กำลังลุกไหม้ นำทางพุ่งไปข้างหน้า เขาต้องเผด็จศึกแพนดิเซียก่อนที่พวกมันจะระดมพล

เอนวินและอาร์ทฟอลพุ่งเข้ามาทางด้านข้าง เหล่าทหารตามมา ทั้งหมดต่างตะโกนสิงหนาทอันกึกก้อง ราวกับว่าพวกเขากำลังทิ้งชีวิตไปในสายลม หลังจากที่ต้องยอมจำนนมาหลายปี วันแห่งการแก้แค้นของพวกเขาได้มาถึงแล้ว

ในที่สุดแพนดิเซียก็ไหวตัว ทหารเริ่มรวมตัวกันที่ดาดฟ้าด้านล่าง เดินกันขวักไขว่เหมือนมด ไอจากควันไฟทำให้ทหารแพนดิเซียมึนงงและสับสน พวกมันมองเห็นดันแคนและทหารของเขา ทหารแพนดิเซียชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่ ดันแคนพบว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับทหารนับร้อย – แต่เขาไม่ลังเล เขารีบเข้าโจมตีทันที

ดันแคนก้มหลบเมื่อทหารกำลังฟาดคมดาบมาที่ศีรษะของเขา เขาลุกขึ้นมาและแทงไปที่ท้องของทหาร ทหารอีกคนโจมตีมาทางด้านหลัง ดันแคนหมุนตัวและต้านเอาไว้ – เหวี่ยงดาบของทหารคนนั้นไปรอบ ๆ และแทงเข้าไปที่หน้าอก

ดันแคนต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษ เขาถูกโจมตีจากทุกทิศทาง ทำให้นึกถึงวันเก่า ๆ เขาพบว่าตัวเองกรำศึกมามาก เขาหลบหลีกได้จากทุกทิศทาง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้มากเกินไปที่จะใช้ดาบ เขาโน้มตัวกลับหลังและเตะขา สร้างพื้นที่สำหรับการเหวี่ยงดาบ ในพริบตาเขาหมุนตัวตีศอก ต่อสู้ด้วยมือเปล่าในระยะประชิดเมื่อจำเป็น ศัตรูต่างล้มกองอยู่ตรงหน้า และไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้

หลังจากนั้นไม่นาน เอนวินและอาร์ทฟอลได้เข้ามาร่วมด้วย พร้อมกับทหารอีกหลายสิบคน เอนวินป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งมาหาดันแคนจากด้านหลัง ทำให้ดันแคนรอดจากการบาดเจ็บ – ขณะที่อาร์ทฟอลก้าวไปข้างหน้า ยกดาบของเขาขึ้นและป้องกันขวานที่จะฟันลงมาที่หน้าของดันแคน ดันแคนได้ก้าวไปข้างหน้าและแทงดาบไปที่ท้องของศัตรูทันที ดันแคนและอาร์ทฟอลต่างร่วมมือกันกำราบศัตรู

ทั้งหมดต่อสู้กันอย่างพร้อมเพรียง เสมือนเครื่องจักรที่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำมัน ต่างคุ้มกันหลังของกันและกัน เสียงปะทะของดาบและชุดเกราะส่งเสียงอึกทึกท่ามกลางราตรีอันมืดมิด

ดันแคนมองเห็นทหารของเขากระโดดขึ้นไปบนเรือและลงไปที่ท่าเรือ โจมตีกองเรือพร้อมกัน ทหารของแพนดิเซียวิ่งแตกตื่นออกมา ทหารบางคนตัวติดไฟ นักรบของเอสคาลอนทั้งหมดต่อสู้อย่างห้าวหาญท่ามกลางกองเพลิง ไม่มีใครถอยหลัง แม้ว่าจะมีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่รอบตัว ดันแคนพร้อมต่อสู้จนกว่าเขาจะไม่สามารถยกแขนขึ้นได้อีก ความร้อนทำให้หยาดเหงื่อไหลท่วมกาย ควันไฟบดบังการมองเห็น เสียงดาบปะทะกันรอบตัว ทหารแพนดิเซียที่จะหนีออกจากฝั่งร่วงลงสู่พื้นคนแล้วคนเล่า

ในที่สุดเปลวไฟก็ลุกโหมอย่างเต็มที่ ทหารของแพนดิเซียในชุดเกราะติดอยู่ในกองเพลิง กระโจนออกมาจากเรือลงไปยังน้ำข้างล่าง – ดันแคนนำทหารของเขาออกจากเรือและข้ามกำแพงหิน ย้อนกลับไปยังฝั่งท่าเรือ ดันแคนได้ยินเสียงตะโกน เขาหันกลับไปเห็นทหารแพนดิเซียนับร้อยพยายามตามมา

ทันทีที่ทหารคนสุดท้ายลงมาถึงพื้น ดันหันกลับไป ยกดาบของเขาขึ้นและฟันเชือกขนาดใหญ่ที่ผูกเรืออยู่กับฝั่ง

“เชือก!” ดันแคนตะโกน

ทหารทั้งหมดทำตามคำสั่งและฟันเชือกที่ทอดสมอกองเรือ เมื่อเชือกขนาดใหญ่ขาดสะบั้น ดันแคนวางเท้าไปที่โครงเรือและถีบออกไปเพื่อผลักเรือออกจากชายฝั่ง เอนวิน อาร์ทฟอลและคนอื่น ๆ รีบวิ่งเข้ามาช่วย พวกเขาทั้งหมดผลักเรือที่ติดไฟออกไปจากชายฝั่ง

เรือที่กำลังลุกไหม้เต็มไปด้วยทหาร เรือลำนั้นพุ่งตรงไปชนเรือลำอื่นในท่าเรือ – ทำให้เรือลำอื่นติดไฟเช่นกัน พวกทหารกระโดดลงจากเรือ ส่งเสียง และจมลงไปในน้ำทะเล

ดันแคนยืนนิ่ง หายใจหอบและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย เมื่อท่าเรือทั้งหมดลุกเป็นไฟ ทหารแพนดิเซียนับพันออกมาจากดาดฟ้าเรือลำอื่น ๆ – แต่สายเกินไปแล้ว พวกเขาต้องเจอกับกำแพงไฟ และถูกเผาทั้งเป็นอย่างไม่มีทางเลือก หรือไม่ก็กระโดดลงไปสู่ความตายและจมอยู่ในน้ำที่หนาวเหน็บ ทหารแพนดิเซียทั้งหมดเลือกอย่างหลัง ดันแคนมองท่าเรือที่เต็มไปด้วยศพนับร้อยลอยอยู่ในน้ำ ทหารที่รอดชีวิตต่างตะโกนร้องและว่ายมาที่ฝั่ง

“พลธนู!” ดันแคนตะโกน

พลธนูของเขาเล็งเป้าและระดมยิงซ้ำแล้วซ้ำอีกไปยังทหารที่กำลังแตกทัพ ลูกธนูพุ่งเข้าเป้า กองเรือแพนดิเซียจมดิ่งลงไป

แม่น้ำกลายเป็นสีแดงเลือด ในไม่ช้าก็มีเสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องดังขึ้น เมื่อฉลามเหลืองเข้ามากินอาหารในท่าเรือที่โชกเลือดแห่งนี้

ดันแคนมองไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ทอแสง นี่เขาทำอะไรลงไป เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วกองเรือทั้งหมดของแพนดิเซียยังตั้งอยู่ในท่าเรืออย่างโอหัง สัญลักษณ์การครอบครองของแพนดิเซียไม่มีอีกต่อไปแล้ว เรือนับร้อยถูกทำลาย ทั้งหมดถูกเผาไปพร้อมกับชัยชนะของดันแคน การโจมตีด้วยความเร็วและไม่ทันตั้งตัวของเขาได้ผล

เสียงตะโกนดังขึ้นในหมู่ทหาร ดันแคนหันไป ทหารของเขากำลังส่งเสียร้องโห่ขณะมองเรือที่กำลังถูกเผา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเขม่า และความเหนื่อยล้าจากการขี่ม้ามาทั้งคืน – แต่ทั้งหมดกำลังดื่มด่ำกับชัยชนะ มันคือเสียงร้องแห่งความดีใจ เสียงร้องแห่งอิสรภาพ เสียงร้องที่พวกเขาเฝ้ารอมาเป็นเวลานานหลายปี

หลังจากนั้นไม่นานมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา – เสียงนี้เหมือนเป็นลางไม่ดี – ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้ดันแคนขนลุกชัน เขาหันไปเห็นประตูขนาดใหญ่ค่อย ๆ เปิดขึ้น ดันแคนตกใจกับภาพที่ปรากฏ ทหารแพนดิเซียนับพัน สรรพาวุธพร้อมรบ กองกำลังที่สมบูรณ์แบบ กองทัพมืออาชีพ ในอัตราสิบต่อหนึ่งเมื่อเทียบกับทหารของเขา ทหารแพนดิเซียกำลังเตรียมการ เมื่อประตูเปิดขึ้น ทหารแพนดิเซียก็ส่งเสียงร้องและพุ่งมาที่ทหารของเขา

สัตว์ร้ายถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ตอนนี้สงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น

กำเนิดความกล้าหาญ

Подняться наверх