Читать книгу กำเนิดความกล้าหาญ - Морган Райс, Morgan Rice - Страница 18

บทที่หก

Оглавление

ไคร่ายึดแผงคอของแอนดอร์ไว้แน่นขณะที่ทั้งสองควบฝ่าความมืดในยามค่ำคืน โดยมีเดียร์ดรีเคียงข้าง และลีโออยู่ด้านล่าง ทั้งหมดเร่งความเร็วผ่านท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะทางด้านตะวันตกของอาร์โกส์เหมือนขโมยที่กำลังหนีกลางดึก พวกเขาเดินทางมาหลายชั่วโมงแล้ว เสียงฝีเท้าม้าก้องอยู่ในหูของเธอ ไคร่าหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัว เมื่อเธอจินตนาการว่าเธอจะได้เจออะไรที่ป้อมปราการแห่งเออร์ ว่าลุงของเธอจะเป็นใคร เขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับเธอบ้าง เกี่ยวกับแม่ของเธอ แล้วเธอก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ถึงอย่างนั้น เธอยอมรับว่ารู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะนี่เป็นการเดินทางบนเส้นทางอันแสนไกลข้ามเอสคาลอนที่เธอไม่เคยทำมาก่อน เธอเห็นป่าแห่งหนามรอคอยเธออยู่เบื้องหน้า พื้นที่ราบสิ้นสุดลงและในไม่ช้าพวกเขาต้องเข้าสู่พื้นที่ป่าที่ปิดทึบและเต็มไปด้วยสัตว์ที่ดุร้าย เธอรู้ดีว่ากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่มีอยู่จะใช้ไม่ได้เลยเมื่อข้ามเข้าไปในแนวป่านี้

หิมะตีเข้าที่ใบหน้าในขณะที่ลมพัดผ่านพื้นที่โล่ง ด้วยมือที่ชาจากความหนาวเหน็บ เธอทิ้งคบไฟด้วยรู้ว่ามันไหม้จนมอดดับมาเป็นเวลานานแล้ว เธอขี่เข้าไปในความมืด หลงเข้าไปในวังวนของความคิด มีเพียงเสียงม้าและเสียงหิมะใต้ฝ่าเท้าและบางครั้งเสียงแอนดอร์คำรามเบา ๆ เท่านั้น เธอรู้สึกได้ถึงความเกรี้ยวกราด ธรรมชาติของเขาที่ไม่เชื่อง ต่างจากสัตว์ที่เธอเคยขี่มาก่อน เหมือนแอนดอร์ไม่ใช่เพียงไม่กลัวเกรงต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น – มันยังรู้สึกอยากเผชิญหน้าเสียด้วยซ้ำ

เธอห่อตัวด้วยผ้าขนสัตว์ ไคร่ารู้สึกได้ถึงความหิวอีกระรอก และเธอได้ยินเสียงลีโอส่งเสียงครางอีกครั้ง เธอรู้ได้ว่าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความหิวได้อีกต่อไป พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงและพวกเขาได้กินเนื้อแผ่นแช่แข็งชิ้นสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเอาเสบียงมาไม่พอ เธอมารู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว บนพื้นดินไม่มีสัตว์ตัวเล็กให้ล่า และนั่นเป็นลางที่ไม่ดีเอาเสียเลย พวกเขาอาจต้องหยุดเพื่อหาอาหารในเร็ว ๆ นี้

พวกเขาชะลอขณะที่เข้าใกล้แนวชายป่า ลีโอคำรามใส่แนวต้นไม้ดำมืด ไคร่ามองไปด้านหลัง ยังพื้นราบเป็นระลอกคลื่นที่มุ่งสู่อาร์โก รู้สึกรังเกียจที่จะต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า เธอรู้กิตติศัพท์ของป่าแห่งหนามแห่งนี้เป็นอย่างดี และเธอรู้ดีว่าจุดนี้เธอไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว

“พร้อมไหม?” เธอถามเดียร์ดรี

เดียร์ดรีดูเป็นผู้หญิงคนละคนกับคนที่หนีออกจากที่คุมขัง เธอดูแข็งแรง แน่วแน่ เหมือนเธอได้ไปยังนรกขุมที่อยู่ลึกที่สุดแล้วกลับมา และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง

“ส่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นกับฉันแล้ว” เดียร์ดรีบอก เสียงของเธอเย็นชาและหนักแน่นเหมือนป่าที่อยู่ตรงหน้า เสียงนั้นดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย

ไคร่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ – และทั้งสองเริ้มเข้าสู่แนวชายป่า

ในขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น ไคร่าเริ่มรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ แม้จะเป็นในค่ำคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้ มันมืดมากในนี้ บรรยากาศปิดล้อม เต็มไปด้วยต้นไม้โบราณสีดำที่มีตาไม้ตะปุ่มตะป่ำ มีกิ่งไม้มีลักษณะคล้ายหนาม และใบไม้หนาสีดำ ป่านี้ไม่ได้แผ่กระแสของความสงบ แต่เป็นความรู้สึกของปีศาจ

พวกเขาเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ท่ามกลางตันไม้เหล่านี้ หิมะ น้ำแข็งส่งเสียงดังกรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าสัตว์ทั้งสาม เสียงสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในกิ่งไม้ดังเป็นระยะ เธอหันไปมองและสำรวจเพื่อหาที่มาของเสียงแต่ไม่เห็นสิ่งใด เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่

พวกเขาเดินหน้าลึกเข้าไปในป่าเรื่อย ๆ ไคร่าพยายามมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกและทิศเหนือเหมือนที่พ่อของเธอบอก จนกว่าจะเจอทะเล เมื่อเดินไป ลีโอและแอนดอร์ส่งเสียงคำรามใส่สิ่งมีชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่แต่ไคร่ามองไม่เห็น เมื่อเธอเบี่ยงหลบกิ่งไม้จะเกี่ยวบาดเธอ ไคร่านึกถึงเส้นทางข้างหน้าอีกยากไกล เธอรู้สึกตื่นเต้นเมื่อนึกถึงการเดินทาง แต่เธอรู้สึกอยากอยู่กับผู้คนของเธอมากกว่า อยากต่อสู้เคียงค้างพวกเขาในสงครามที่เธอเป็นคนเริ่มต้น เธอรู้สึกอยากกลับไปมาก ๆ

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ไคร่าเดินทางเข้าไปในป่า สงสัยว่าต้องไปอีกไกลเท่าไรจึงจะถึงทะเล เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงที่จะขี่ม้าในความมืดเช่นนี้ – แต่เธอรู้ด้วยว่ามันก็เสี่ยงเช่นกันที่จะค้างแรมอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง – โดยเฉพาะยิ่งเธอได้ยินเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งกลัวเช่นนี้

“ทะเลเป็นยังไง?” ในที่สุดไคร่าหันไปถามเดียร์ดรี เพียงเพื่อทำลายความเงียบ

เธออาจบอกจากสีหน้าของเดียร์ดรีได้ว่าเธอเป็นคนปลุกให้เดียร์ดรีหลุดจากภวังค์ เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าฝันร้ายที่เดียร์ดรีกำลังคิดอยู่นั้นคืออะไร

เดียร์ดรีส่ายหัว

“ฉันหวังว่าฉันจะรู้” เธอตอบ เสียงแห้งผาก

ไคร่ารู้สึกสับสน

“เธอไม่ได้มาทางนี้หรือ เมื่อพวกเขาคุมตัวเธอมา?” เธอถาม

เดียร์ดรียักไหล่

“ฉันถูกขังไว้ในกรงตอนหลังของตู้” เธอตอบ “และหมดสติเกือบตลอดการเดินทาง พวกเขาอาจพาฉันมาทางนี้ก็ได้ แต่ฉันไม่รู้จักป่าแห่งนี้”

เธอถอนหายใจ มองออกไปในความมืด

“แต่เมื่อเราเข้าใกล้ไวท์วูด ฉันน่าจะจำอะไรได้มากขึ้น”

พวกเขาเดินทางต่อ บรรยากาศกลับมาสู่ความเงียบอีกครั้ง และไคร่ารู้สึกสนใจในตัวเดียร์ดรีและเรื่องในอดีตของเธอ เธอสัมผัสได้ถึงความเข้มแข็ง แม้จะมีความเศร้าลึก ๆ ไคร่าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มถูกครอบงำด้วยความคิดด้านมืดของการเดินทางจ้างหน้า การไม่มีอาหาร ความหนาวเย็นที่กัดกิน และสัตว์ดุร้ายที่รอคอยพวกเขาอยู่ และเธอหันกลับที่เดียร์ดรีพยายามที่จะเบี่ยงเบนความคิดตัวเอง

“เล่าเรื่องเกี่ยวกับป้อมปราการแห่งเออร์ให้ฉันฟังหน่อยสิ” ไคร่าบอก “มันเป็นยังไง?”

เดียร์ดรีมองกลับมา รอบดวงตาเป็นสีดำ เธอยักไหล่

“ฉันไม่เคยไปถึงป้อมปราการ” เดียร์ดรีตอบ “ฉันมาจากเมืองเออร์ – และนั่นห่างจากป้อมปราการไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ขี่ม้าไปทางใต้”

“ถ้าอย่างนั้น เล่าเกี่ยวกับเมืองของเธอให้ฉันฟังหน่อย” ไคร่าบอก พยายามที่จะคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากที่นี่

ดวงตาของเดียร์ดรีลุกโพลง

“เออร์เป็นสถานที่ที่สวยงาม” เธอบอก มีเสียงแห่งความปรารถนาอยู่ในน้ำเสียง “เมืองติดทะเล”

“เรามีเมืองติดทะเลด้วยเหมือนกันอยู่ทางใต้” ไคร่าบอก “เอสเฟส ห่างจากโวลิสเป็นเวลา 1 วันเดินทางทางม้า ฉันเคยไปที่นั่นพร้อมพ่อของฉันตอนฉันยังเป็นเด็กอยู่”

แอนดอร์ส่ายหัว

“นั่นไม่ใช่ทะเล” เธอตอบ

ไคร่ารู้สึกสับสน

“หมายความว่ายังไง?”

“นั่นคือทะเลแห่งน้ำตา” เดียร์ดรีตอบ “ของเออร์คือทะเลแห่งความโศกเศร้า ทะเลของเราเป็นทะเลที่เปิดกว้าง บนชายหาดฝั่งตะวันออกของเรามีคลื่นลูกเล็ก ๆ ชายฝั่งตะวันตกของทะเลแห่งความโศกเศร้ามีคลื่นที่สูง 20 ฟุต ซัดเข้าหาฝั่ง มีกระแสน้ำสามารถจมเรือทั้งลำได้ในพริบตาเดียว ในคืนที่พระจันทร์ขึ้นสูง นี่ขนาดไม่ต้องพูดถึงคนนะ ของเราเป็นเมืองแห่งเดียวในเอสคาลอนที่หน้าผาลดขนาดต่ำลงในขนาดที่เปิดโอกาสให้เรือสามารถเข้าเทียบท่าได้ เรามีหาดทรายเพียงแห่งเดียวในเอสคาลอน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแอนโดรส์จึงถูกสร้างให้ห่างจากเมืองของเราเพียง 1 ชั่วโมงขี่ม้าไปทางทิศตะวันออก”

ไคร่าขบคิดคำพูดของเธอ รู้สึกดีที่ได้เบี่ยงเบนความสนใจ เธอนึกย้อนกลับไปถึงบทเรียนจากเมื่อวัยเยาว์ แต่เธอไม่เคยคิดถึงมันในรายละเอียดเลย

“แล้วผู้คนของเธอล่ะ?” ไคร่าถาม “พวกเขาเป็นอย่างไร?”

เดียร์ดรีถอนหายใจ

“คนที่ภาคภูมิใจ” เธอตอบ “เหมือนคนอื่นในเอสคาลอนแต่แตกต่างกัน เขาว่ากันว่าคนเมืองเออร์มีสายตาหนึ่งมองที่เอสคาลอน ส่วนอีกสายตาหนึ่งมองไปที่ทะเล เรามองไปตรงเส้นขอบฟ้า พากเรามีใจกว้างกว่าพวกอื่น ๆ – บางทีเพราะมีชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนชายฝั่งของเรามากก็เป็นได้ ชายหนุ่มแห่งเออร์เป็นนักรบที่มีชื่อเสียง พ่อของฉันเป็นผู้นำแห่งนักรบ ตอนนี้ พวกเราเป็นเพียงแค่เชลยเหมือนคนอื่น ๆ”

เธอถอนใจ และตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน ไคร่ารู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอเริ่มพูดอีกครั้ง

“เมืองของเรามีลำคลองตัดผ่าน” เดียร์ดรีพูดต่อ “เมื่อฉันโตขึ้น ฉันมักชอบนั่งอยู่ที่เนินดิน จ้องมองเรือแล่นผ่านเข้าออกเป็นชั่วโมง ๆ บางครั้งเป็นวัน ๆ พวกเขามาจากทุกแห่งในโลกนี้ มีธงตราสัญลักษณ์ ใบเรือ และสีที่แตกต่าง พวกเขานำเอาเครื่องเทศ ผ้าไหม และอาวุธ รวมถึงอาหารราคาแพงทุกรูปแบบ – บางครั้งนำสัตว์มาด้วย ฉันมักเฝ้ามองผู้คนมาและไป และฉันเคยสงสัยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ฉันอยากเป็นอย่างพวกเขาอย่างมาก”

เธอยิ้ม เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาของเธอสว่างโพลง จดจำภาพต่าง ๆ อย่างชัดเจน

“ฉันเคยมีความฝัน” เดียร์ดรีบอก “เมื่อฉันโตพอ ฉันจะขึ้นเรือลำหนึ่งในนั้น และเดินทางไปยังต่างแดน ฉันอาจเจอเจ้าชาย และเราอาจใช้ชีวิตอยู่บนเกาะสักแห่ง ในปราสาทสักหลัง ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่เอสคาลอน”

ไคร่ามองเดียร์ดรียิ้ม

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ไคร่าถาม

สีหน้าของเดียร์ดรีหล่นวูบ เธอก้มมองหิมะ ฉับพลันเธอแสดงออกด้วยความโศกเศร้า เพียงแค่สั่นหัว

“สายเกินไปแล้วสำหรับฉัน” เดียร์ดรีบอก “หลังจากทุกสิ่งที่พวกมันทำกับฉัน”

“มันไม่มีอะไรที่สายเกินไปหรอก” ไคร่าบอก พยายามสร้างความมั่นใจให้เธอ

แต่เดียร์ดรีเพียงแต่ส่ายหัว

“มันเป็นเพียงแค่ความฝันของเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสา” เธอบอก เสียงหนักแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด “และเด็กผู้หญิงคนนั้นก็จากไปนานแล้ว”

ไคร่ารู้สึกเศร้าที่เพื่อของเธอกลับมาสู่ความเงียบ ยิ่งลึกเข้าไปในป่า เธออยากทำลายความเจ็บปวดของเพื่อนเธอ แต่ไม่รู้วิธี เธอสงสัยในความเจ็บปวดที่ผู้คนต้องเผชิญในชีวิต เหมือนสิ่งที่พ่อเธอเคยบอกเธอครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือ? อย่าถูกหลอกโดยสีหน้าของผู้คน พวกเขาทุกคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความสิ้นหวังอย่างเงียบ ๆ บางคนซ่อนมันไว้ได้ดีกว่าคนอื่น ๆ จงเห็นใจทุกคน แม้ว่าการทำแบบนั้นจะไม่มีเหตุผลใด ๆ เลย

“วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน” เดียร์ดรีพูดต่อ “คือวันที่พ่อของฉันยอมรับในกฎหมายของแพนดีเซีย เมื่อเขายอมให้เรือเข้ามาในคลองของเรา และยอมให้คนของเขาลดธงของเราลง มันเป็นวันที่น่าเศร้า เศร้ายิ่งกว่าวันที่เขายอมให้พวกมันคุมตัวฉันไป”

ไคร่าเข้าใจทุกสิ่งเป็นอย่างดี เธอเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดที่เดียร์ดรีต้องเผชิญ ความรู้สึกของการถูกทรยศ

“และเมื่อเธอกลับมา?” ไคร่าถาม “เธอจะเจอพ่อของเธอไหม?”

เดียร์ดรีมองลงต่ำอย่างเจ็บปวด ในที่สุดเธอบอกว่า “เขายังคงเป็นพ่อของฉัน เขาทำผิด ฉันมั่นใจว่าเขาไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำส่งผลต่อฉันอย่างไร ฉันคิดว่าเขาคงไม่เป็นเหมือนเดิมหลังจากได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากบอกเขา สบตาเขา ฉันต้องการให้เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึก การทรยศของเขา เขาต้องเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ชายเป็นคนตัดสินใจชาตากรรมของผู้หญิง” เธอเช็ดน้ำตา “เขาเคยเป็นวีรบุรุษในใจฉัน ฉันไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยอมปล่อยฉันไป”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?” ไคร่าถาม

เดียร์ดรีส่ายหัว

“ไม่มีอีกแล้ว ฉันเลิกให้ผู้ชายเป็นวีรบุรุษแล้ว ฉันต้องหาวีรบุรุษจากที่อื่น”

“แล้วเธอล่ะ?” ไคร่าถาม

เดียร์ดรีมองกลับด้วยความสับสน

“เธอหมายความว่าอะไร?”

“ทำไมจึงมองหาคนอื่น แทนที่จะเป็นตัวเองล่ะ?” ไคร่าถาม “เธอเป็นวีรสตรีในตัวเองไม่ได้หรือ?”

เดียร์ดรีหัวเราะขำ

“แล้วทำไมจึงต้องเป็นฉันล่ะ?”

“เธอเป็นวีรสตรีในใจฉัน” ไคร่าบอก “สิ่งที่ทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานที่นั่น – ฉันไม่อาจทานทนได้ เธอรอดชีวิตมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข เธอกลับมายืนหยัด และรอดชีวิตจนถึงทุกวันนี้ นั่นแหละที่ทำให้เธอเป็นวีรสตรีในใจฉัน”

เดียร์ดรีไตร่ตรองคำพูดของเธอและไปต่อด้วยความเงียบ

“แล้วเธอล่ะ ไคร่า?” ในที่สุดเดียร์ดรีก็ถามออกมา “เล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับตัวเธอบ้าง”

ไคร่ายักไหล่

“เธออยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ?”

เดียร์ดรีกระแอม

“เล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับมังกร เกิดอะไรขึ้นที่นั่น ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เหตุใดเขาจึงมาช่วยเธอ?” เดียร์ดรีรีรอเล็กน้อย “เธอคือใคร?”

ไคร่ารู้สึกประหลาดใจที่จับความรู้สึกกลัวจากเสียงของเพื่อนเธอได้ เธอขบคิดคำพูด อยากจะตอบตามความจริง และหวังว่าจะรู้คำตอบของคำถามเหล่านั้น

“ฉันไม่รู้” เธอตอบตามความเป็นจริง “ฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉันคงต้องค้นหาความจริงให้ได้เหมือนกัน”

“เธอไม่รู้หรือหรือ?” เดียร์ดรีกดดัน “มังกรบินลงมาจากฟากฟ้าและต่อสู้เพื่อเธอ และเธอไม่รู้เหตุผลว่าทำไมนะหรือ?”

ไคร่าคิดดูแล้วฟังดูเหมือนเหลือเชื่อ แต่เธอทำได้เพียงส่ายหัว เธอมองขึ้นไปยังภาพสะท้อนบนท้องฟ้า ที่อยู่ระหว่างกิ่งไม้ที่พันกันเป็นเกลียว ท่ามกลางความหวังทั้งมวล เธอหวังว่าจะเห็นสัญญาณของธีโอส์

แต่เธอไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด เธอไม่ได้ยินเสียงมังกร และความรู้สึกแปลกแยกระหว่างเธอและมังกรก็มากขึ้นทุกที

“เธอรู้ว่าตัวเธอมีความแตกต่างใช่ไหมล่ะ?” เดียร์ดรีกดดันต่อ

ไคร่ายักไหล่ เธอรู้สึกวาบที่ใบหน้า รู้สึกถึงความรู้ตัว เธอสงสัยว่าเพื่อนของเธอมองเธอเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า

“ฉันเคยรู้สึกมั่นใจในทุกสิ่ง” ไคร่าตอบ “แต่ตอนนี้...โดยสัจจริงแล้ว ฉันไม่รู้อีกต่อไป”

พวกเขายังคงขี่ม้ามาเป็นเวลาหลายชั่วโมง กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง บางครั้งพวกเขาวิ่งเหยาะ ๆ เมื่อป่าเปิดกว้าง บางครั้งป่าทึบมากจนพวกเขาต้องลงจากหลังม้าและจูงสัตว์ทั้งสองไป ไคร่ารู้สึกระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าเธออาจถูกจู่โจมเมื่อใดก็ได้ ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเลยในป่าแห่งนี้ เธอไม่รู้ว่าอะไรที่เจ็บปวดมากกว่ากัน ระหว่างความหนาวหรือความหิวที่เจ็บแปลบที่ท้องของเธอ รู้สึกเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อและริมฝีปากไร้ความรู้สึก เธอรู้สึกทุกข์ทรมาน นึกไม่ถึงว่าจริง ๆ แล้วการผจญภัยจริง ๆ ยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

ผ่านไปหลายชั่วโมง ลีโอเริ่มส่งเสียงร้องครวญคราง มันเป็นเสียงที่แปลก – ไม่เหมือนเสียงร้องปกติ เป็นเสียงที่มันเปล่งออกมาเมื่อได้กลิ่นอาหาร ในขณะเดียวกัน ไคร่าก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างเช่นกัน – และเดียร์ดรีก็หันไปในทิศทางเดียวกันและจ้องมอง

ไคร่ามองผ่านป่าแต่ไม่เห็นอะไรเลย พอพวกเขาหยุดฟัง เธอเริ่มได้ยินเสียงแผ่วเบาของกิจกรรมอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านหน้าออกไป

ไคร่าทั้งรู้สึกตื่นเต้นกับกลิ่นที่เธอรับรู้ และรู้สึกกังวลเพราะเธอรู้ว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไร: มันหมายถึงมีคนอื่นอยู่ในป่าแห่งนี้เช่นกัน เธอนึกถึงคำเตือนของพ่อเธอได้ และสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือการเผชิญหน้า ไม่ใช่ที่นี่ และไม่ใช่เวลานี้

กำเนิดความกล้าหาญ

Подняться наверх